การสำรวจข้อมูลและไฟล์ระบบเอาไว้แต่เนิ่นๆ
เป็นสิ่งที่ควรทำหลังจากที่คุณได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะ
เพราะมันจะไม่ทำให้คุณต้องมานั่งคอตกในยามที่วินโดวส์ได้รับความเสียหายจนไม่อาจเข้าไปเอาข้อมูลคืนได้!!!
ปัญหาระบบวินโดวส์ล่มข้อมูลสูญหาย
ไวรัสกล้ำกรายเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันจนชินตา
ในปัจจุบันซึ่งผู้ใช้บางคนที่ไม่ทราบวิธีแก้ปัญหาก็ได้แต่ยกเครื่อง
ไปที่ร้านซ่อมคอมพ์ และเสีย 300 บาท เพื่อรักษาทุกอาการ!
โดยวิธีการปัญหาของร้านพวกนี้ก็คือ
หากเข้าไปเอาข้อมูลที่คุณต้องการไม่ได้พวกเขาก็มักจะบอกคุณว่า "ต้องลงวินโดวส์ใหม่"
จากนั้นก็จัดการโคลนนิ่งวินโดวส์พร้อมโปรแกรมต่าง ๆ
จากฮาร์ดดิสก์ตัวหลักที่ใช้ประจำ ไปยังฮาร์ดดิสก์ของคุณ ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที
ก็ได้วินโดวส์พร้อมโปรแกรมคืนมา แต่ทว่าโปรแกรมประเภท Anti Virus หากโคลนนิ่งมาแล้ว
เมื่อถึงเวลาต้องอัพเดตแพตช์มันจะไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง
ซึ่งทำให้เมื่อใช้ไปนานๆ พอมีไวรัสใหม่ๆ มาโปรแกรม Anti Virus
จะไม่มีไฟล์แพตเทิร์นของไวรัสพวกนี้
ผลที่ตามมาก็คือคอมพิวเตอร์ของคุณจะไร้ซึ่งภูมิคุ้มกัน และหากติดไวรัสเข้าละก็
ปัญหาระบบวินโดวส์ล่ม ข้อมูลสูญหาย
ก็คงจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง
มาแบ็กอัพข้อมูลกันเถอะ
คุณพร้อมหรือยังสำหรับการแบ็กอัพ?
เพราะความเสี่ยงที่ข้อมูลและไฟล์ระบบได้รับความเสียหายจะลดลงหากคุณเริ่มต้นแบ็กอัพตั้งแต่ตอนนี้
โดยที่ไม่ต้องมองหาเครื่องมือหรือโปรแกรมภายนอกมาช่วยเลยก็ยังได้
เพราะวินโดวส์ได้เตรียมมาให้คุณแล้ว
หากจะถามว่าการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? อย่างแรกเลยก็คือ
คุณสามารถเรียกข้อมูลกลับคืนมาได้ทุกเวลาที่ต้องการ
และอย่างที่สองนั้นหากวินโดวส์เกิดล่มขึ้นมาจริง ๆ
คุณก็มีวิธีรับมือกับมันด้วยตัวเอง
นอกจากนั้นหากคุณมั่นแบ็กอัพข้อมูลอยู่เป็นประจำแล้วละก็ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น
นั่นก็เพราะว่าคุณได้เตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเอาไว้แต่เนิ่นๆ
แล้ว...
ก่อนอื่นเราไปดูกันว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่คุณใช้นั้น
มีเครื่องมือหรือยูทิลิตี้อะไรบ้างสำหรับการแบ็กอัพข้อมูลและเรียกาคืนกลับมา
เมื่อต้องการซ่อมแซม (บทความตอนนี้จะอ้างอิงถึงผู้ใช้ Windows XP
เป็นหลัก)
System Restore
หนึ่งในโปรแกรมแบ็กอัพและรียกข้อมูลกลับคืน
ที่หลายคนมักจะไม่ค่อยใช้งานนั้น ด้วยเหตุผลเดียวที่ว่า "ไม่รู้จะใช้ทำอะไร"
เพราะไม่ทราบวิธีการใช้งานนั่นเอง! ซึ่งอันที่จริงแล้วโปรแกรม System Restore
ใช้งานง่ายกว่าที่คุณคิดซะอีก
เพราะวินโดวส์จะสร้างจุดสำหรับแบ็กอัพเพื่อใช้ในการเรียกข้อมูลกลับคืนให้เป็นระยะๆ
อยู่แล้ว (อัตโนมัติ) ดังนั้น หากวินโดวส์มีปัญหาคุณก็สามารถใช้การ Restore
ได้ทันที
นอกจากนั้นหากคุณต้องการกำหนดจุดแบ็กอัพเองเพื่อเพิ่มความถี่ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ต้องเรียนรู้เทคนิคอีกนิดหน่อย
ซึ่งไม่ยากเกินไปสำหรับคุณแน่นอน
Backup Utility
สำหรับโปรแกรมตัวที่สองนี้ ค่อนข้างมีสมรรถนะการทำงานที่สูงพอตัว
เพราะไมโครซอฟท์ได้เลือกใช้ซอฟต์แวร์ของ VERITAS
ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านซอฟต์แวร์โซลูชันและดาต้าเบส Backup Utility
ช่วยให้ผู้ใช้ที่ต้องการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบสามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะมีโหมดการทำงานอย่าง
Wizard ที่เพียงแคคลิ้กเมาส์ตามก็ได้เช่นกัน
ซึ่งโปรแกรมก็ได้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ มาให้เพียบ
รับรองว่าลองใช้ดูแล้วจะรู้ว่าดีจริง! คุณสามารถใช้โปรแกรม Backup Utility
โดยไปที่ Start->All Programs -> Accessories -> System Tools ->Backup
แบ็กอัพข้อมูลด้วยอุปกรณ์ฮาร์แวร์
สำหรับการแบ็กอัพข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์นั้น
แน่นอนว่าย่อมลดความ เสี่ยงจากการที่ข้อมูลอาจสูญหายได้อีกขั้น
นั่นก็เพราะคุณได้สำรองข้อมูลเอาไว้มากกว่าหนึ่งที่
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียวอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแบ็กอัพข้อมูลในปัจจุบันก็ได้แก่ฮาร์ดดิสก์แบบติดตั้งภายนอกผ่านพอร์ต
USB เทปแบ็กอัพ ที่มักจะใช้กับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ ซิปไดรฟ์ (Zip Drive)
เครื่องบันทึก DVD/CD นอกจากนั้นยังมีการใช้แฟลชเมโมรี่ความจุสูง
รวมทั้งไมโครไดรฟ์ที่ใช้กับอุปกรณ์โมบายมาแบ็กอัพข้อมูลด้วยเช่นกันซึ่งทำให้ข้อมูลสำคัญๆ
ของคุณยังคงถูกรักษาเอาไว้ แม้ฮาร์ดดิสก์หลักของระบบจะได้รับความเสียหายก็ตาม
ดังนั้น หากคุณมีงบเหลือพอที่จะซื้ออุปกรณ์แบ็กอัพข้อมูลสักชิ้นก็จะดีไม่น้อย!
นาๆสาระที่จะถ่ายทอดสู่โลกใบนี้ ความรู้ที่ไม่กว้างและไม่ลึกซึ้งเกินไป เกี่ยวกับ - ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์-วิวัฒนาการเทคโนโลยี
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
30 ทิปเล็กน้อยๆสำหรับวินโดว์ที่ไม่ควรมองข้าม
1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\\windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare
5 วิธีถนอมธัมบ์ไดร์ฟสุดรัก
ผมเพิ่งได้ธัมบ์ไดรฟ์ตัวใหม่มาใช้ครับ ด้วยความที่ความจุของมันตั้ง 1GB
ผมจึงอยากจะรู้วิธีที่จะรักษามันไว้กับผมนานๆ
ผมก็เลยนำบทความแนะนำวิธีดูแลธัมบ์ไดรฟ์ที่หาได้จากเว็บไซต์คอมพิวเตอร์ทูเดย์มาให้อ่านกันครับ
ภัยที่เกิดขึ้นกับธัมบ์ไดร์ฟโดยรวมๆคือ ธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย ธัมบ์ไดร์ฟเสียหายเพราะโดนไวรัส การถูกดูข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อมูลในธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย วิธีแก้ไขคือ
1. เก็บไว้ใกล้ตัว-ไม่ต้องกลัวหาย
นับวันธัมบ์ไดรฟ์จะมีขนาดเล็กลง หายง่ายมาก (ถูกขโมยก็ง่ายด้วย) มีไม่น้อยที่มักจะหลงลืมไว้ตามที่ต่างๆ เวลาหยิบออกมาวาง หรือแม้แต่ติดไปกับเครื่องคอมพ์ชาวบ้านเพราะลืมขอคืน บางคนชอบคล้องไว้กับกุญแจ ซึ่งเป็นของที่ชอบทำหายอันดับต้นๆ
วิธีน่าสนใจที่สุดคือ เลือกรุ่นที่มีสายคล้องคอไว้ แม้จะดูไม่สวยงามเท่าไร แต่มันลดโอกาสทำหาย และถูกขโมยได้เกือบ 100% อีกนิดนึง ควรเลือกรุ่นที่สายต่ออยู่กับตัวธัมบ์ไดรฟ์ หลีกเลี่ยงการเลือกใช้รุ่นที่สายคล้องคอผูกกับฝาครอบนะครับ
2. ระวังไวรัส
ต้องถือเป็นข้อควรระวังในการใช้งานธัมบ์ไดรฟ์อันดับต้นๆ เพราะโดยพื้นฐานแล้วธัมบ์ไดรฟ์จะมีลักษณะการใช้งานเหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไวรัสสามารถใช้ธัมบ์ไดรฟ์เป็นสื่อพาหะสำหรับการแพร่กระจายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเวลาใช้งานธัมบ์ไดรฟ์ คุณควรแน่ใจก่อนว่า เป็นการถ่ายโอนเฉพาะไฟล์ข้อมูลเท่านั้น (ไม่ได้ติดไวรัสมาด้วย) ประเด็นที่สำคัญก็คือ ควรแน่ใจว่าคุณกำลังเชื่อมต่อธัมบ์ไดรฟ์กับคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่ได้รับการอัพเดตสม่ำเสมอ และในกรณีที่คอมพ์ของคุณรันแอนตี้ไวรัส เวลาต่อกับธัมบ์ไดรฟ์ ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสในเครื่องคอมพ์จะสแกนธัมบ์ไดรฟ์ให้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจธัมบ์ไดรฟ์ที่รับมา ก็ไม่ควรเชื่อมต่อเข้ากับคอมพ์ของคุณเด็ดขาด
3. เข้ารหัสข้อมูล เพื่อรักษาความลับ
ถ้าหากธัมบ์ไดรฟ์ของคุณหาย นั่นหมายความข้อมูลของคุณตกไปอยู่ในมือของผู้ที่พบมันด้วย และถ้าหากคนผู้นั้นบังเอิญเป็นคู่แข่งคุณโดยตรง อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น หากคุณใช้ธัมบ์ไดรฟ์เก็บข้อมูลสำคัญ การเข้ารัหสข้อมูลดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) จะทำให้ข้อมูลเปิดอ่านไม่รู้เรื่องจนกว่าจะได้รับพาสเวิร์ดที่ถูกต้อง ซึ่งควรเลือกเข้ารหัสที่ระดับ 128 บิต เพื่อความปลอดภัย ธัมบ์ไดรฟ์รุ่นใหม่ๆ จะมาพร้อมกับคุณสมบัติการเข้ารหัสข้อมูลมาด้วย แต่อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจนะครับว่า ซอฟต์แวร์ที่ให้มาไม่ใช่รุ่นทดลอง เพราะไม่เช่นนั้น คุณอาจจะต้องจ่ายตังค์ค่าซอฟต์แวร์ในภายหลัง
4. สำรองข้อมูลให้เป็นนิสัย
ไม่ปฏิเสธครับว่า เวลาธัมบ์ไดรฟ์หาย เราคงรู้สึกไม่ดีแน่นอน แม้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นจะได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัสไว้แล้วก็ตาม แหม...ก็มันต้องเสียเงินอีกแล้วน่ะสิ แต่มันคงรู้สึกเจ็บใจเป็นสองเท่า หากข้อมูลที่อยู่ในนั้นเราไม่เคยได้ทำแบคอัพสำรองเอาไว้เลย ดังนั้น วิธีที่สุดคือ แนะนำให้คุณสำรองธัมบ์ไดรฟ์ไว้สักสองสามก็อปปี้ เพราะนอกจากพวกมันจะหายง่ายแล้ว ยังเสียง่ายอีกด้วย เนื่องจากธัมบ์ไดรฟ์ส่วนใหญ่จะใช้กรอบเป็นพลาสติก ซึ่งแตกหักได้ง่าย
5. เป็นข้อที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการถอดธัมบ์ไดร์ฟออกจากเครื่องอย่างถูกต้อง
เรื่องของเรื่องคือ ก่อนที่คุณจะดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากพอร์ตยูเอสบีบนคอมพิวเตอร์ ให้คุณปิดโปรแกรมทุกตัวที่มีการเข้าถึงไฟล์ต่างๆบนธัมบ์ไดรฟ์เสียก่อน จากนั้นคลิกไอคอน Safely Remove Hardware (ที่มีลูกศรสีเขียวปรากฎอยู่ในมุมล่างขวาบนทาสก์บาร์) แล้วคลิกเลือกธัมบ์ไดรฟ์ที่ปรากฏอยู่ในรายการ
เมื่อคลิกเลือกยูเอสบีไดรฟ์ที่ต้องการเอาออกแล้ว (รูปบน) จะได้รับข้อความแจ้งขึ้นมาว่า “Safe To Remove Hardware” (รูปล่าง) แปลว่า สามารถดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากระบบได้อย่างปลอดภัย
หลายเสียงยืนยันครับว่า หากถอดธัมบ์ไดร์ฟจากเครื่องปุบปับโดยไม่มีการทำตามขั้นตอนนี้ ธัมบ์ไดร์ฟเจ๊งมานักต่อนักแล้วครับ
ภัยที่เกิดขึ้นกับธัมบ์ไดร์ฟโดยรวมๆคือ ธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย ธัมบ์ไดร์ฟเสียหายเพราะโดนไวรัส การถูกดูข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อมูลในธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย วิธีแก้ไขคือ
1. เก็บไว้ใกล้ตัว-ไม่ต้องกลัวหาย
นับวันธัมบ์ไดรฟ์จะมีขนาดเล็กลง หายง่ายมาก (ถูกขโมยก็ง่ายด้วย) มีไม่น้อยที่มักจะหลงลืมไว้ตามที่ต่างๆ เวลาหยิบออกมาวาง หรือแม้แต่ติดไปกับเครื่องคอมพ์ชาวบ้านเพราะลืมขอคืน บางคนชอบคล้องไว้กับกุญแจ ซึ่งเป็นของที่ชอบทำหายอันดับต้นๆ
วิธีน่าสนใจที่สุดคือ เลือกรุ่นที่มีสายคล้องคอไว้ แม้จะดูไม่สวยงามเท่าไร แต่มันลดโอกาสทำหาย และถูกขโมยได้เกือบ 100% อีกนิดนึง ควรเลือกรุ่นที่สายต่ออยู่กับตัวธัมบ์ไดรฟ์ หลีกเลี่ยงการเลือกใช้รุ่นที่สายคล้องคอผูกกับฝาครอบนะครับ
2. ระวังไวรัส
ต้องถือเป็นข้อควรระวังในการใช้งานธัมบ์ไดรฟ์อันดับต้นๆ เพราะโดยพื้นฐานแล้วธัมบ์ไดรฟ์จะมีลักษณะการใช้งานเหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไวรัสสามารถใช้ธัมบ์ไดรฟ์เป็นสื่อพาหะสำหรับการแพร่กระจายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเวลาใช้งานธัมบ์ไดรฟ์ คุณควรแน่ใจก่อนว่า เป็นการถ่ายโอนเฉพาะไฟล์ข้อมูลเท่านั้น (ไม่ได้ติดไวรัสมาด้วย) ประเด็นที่สำคัญก็คือ ควรแน่ใจว่าคุณกำลังเชื่อมต่อธัมบ์ไดรฟ์กับคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่ได้รับการอัพเดตสม่ำเสมอ และในกรณีที่คอมพ์ของคุณรันแอนตี้ไวรัส เวลาต่อกับธัมบ์ไดรฟ์ ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสในเครื่องคอมพ์จะสแกนธัมบ์ไดรฟ์ให้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจธัมบ์ไดรฟ์ที่รับมา ก็ไม่ควรเชื่อมต่อเข้ากับคอมพ์ของคุณเด็ดขาด
3. เข้ารหัสข้อมูล เพื่อรักษาความลับ
ถ้าหากธัมบ์ไดรฟ์ของคุณหาย นั่นหมายความข้อมูลของคุณตกไปอยู่ในมือของผู้ที่พบมันด้วย และถ้าหากคนผู้นั้นบังเอิญเป็นคู่แข่งคุณโดยตรง อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น หากคุณใช้ธัมบ์ไดรฟ์เก็บข้อมูลสำคัญ การเข้ารัหสข้อมูลดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) จะทำให้ข้อมูลเปิดอ่านไม่รู้เรื่องจนกว่าจะได้รับพาสเวิร์ดที่ถูกต้อง ซึ่งควรเลือกเข้ารหัสที่ระดับ 128 บิต เพื่อความปลอดภัย ธัมบ์ไดรฟ์รุ่นใหม่ๆ จะมาพร้อมกับคุณสมบัติการเข้ารหัสข้อมูลมาด้วย แต่อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจนะครับว่า ซอฟต์แวร์ที่ให้มาไม่ใช่รุ่นทดลอง เพราะไม่เช่นนั้น คุณอาจจะต้องจ่ายตังค์ค่าซอฟต์แวร์ในภายหลัง
4. สำรองข้อมูลให้เป็นนิสัย
ไม่ปฏิเสธครับว่า เวลาธัมบ์ไดรฟ์หาย เราคงรู้สึกไม่ดีแน่นอน แม้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นจะได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัสไว้แล้วก็ตาม แหม...ก็มันต้องเสียเงินอีกแล้วน่ะสิ แต่มันคงรู้สึกเจ็บใจเป็นสองเท่า หากข้อมูลที่อยู่ในนั้นเราไม่เคยได้ทำแบคอัพสำรองเอาไว้เลย ดังนั้น วิธีที่สุดคือ แนะนำให้คุณสำรองธัมบ์ไดรฟ์ไว้สักสองสามก็อปปี้ เพราะนอกจากพวกมันจะหายง่ายแล้ว ยังเสียง่ายอีกด้วย เนื่องจากธัมบ์ไดรฟ์ส่วนใหญ่จะใช้กรอบเป็นพลาสติก ซึ่งแตกหักได้ง่าย
5. เป็นข้อที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการถอดธัมบ์ไดร์ฟออกจากเครื่องอย่างถูกต้อง
เรื่องของเรื่องคือ ก่อนที่คุณจะดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากพอร์ตยูเอสบีบนคอมพิวเตอร์ ให้คุณปิดโปรแกรมทุกตัวที่มีการเข้าถึงไฟล์ต่างๆบนธัมบ์ไดรฟ์เสียก่อน จากนั้นคลิกไอคอน Safely Remove Hardware (ที่มีลูกศรสีเขียวปรากฎอยู่ในมุมล่างขวาบนทาสก์บาร์) แล้วคลิกเลือกธัมบ์ไดรฟ์ที่ปรากฏอยู่ในรายการ
เมื่อคลิกเลือกยูเอสบีไดรฟ์ที่ต้องการเอาออกแล้ว (รูปบน) จะได้รับข้อความแจ้งขึ้นมาว่า “Safe To Remove Hardware” (รูปล่าง) แปลว่า สามารถดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากระบบได้อย่างปลอดภัย
หลายเสียงยืนยันครับว่า หากถอดธัมบ์ไดร์ฟจากเครื่องปุบปับโดยไม่มีการทำตามขั้นตอนนี้ ธัมบ์ไดร์ฟเจ๊งมานักต่อนักแล้วครับ
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ความแตกต่างระหว่าง intel core I และ Xeon
แนะนำการเลือกใช้ CPU Intel Core i และ Intel Xeon ให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน
จัดให้ตามคำขอสำหรับเพื่อนๆที่ส่งสัยกันว่า CPU ทั้ง 2 ตระกูลจากทาง Intel อย่าง Intel Core i และ Intel Xeon มีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้งานรูปแบบใด วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาทำความรู้จักกับ CPU ทั้ง 2 ตระกูลยอดนิยมนี้กันครับ เพื่อให้เพื่อนๆได้เลือกใช้ CPU ให้เหมาะกับสเปค/ ลักษณะการใช้งาน ภายในความคุ้มค่ามากที่สุด
Intel Core i Processors
CPU ยอดนิยมที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายที่สุด โดยทาง Intel พัฒนา CPU ตระกูลนี้มาสำหรับการใช้งานในกลุ่ม Consumer รูปแบบต่างๆ ไล่ตั้งแต่การใช้งานระดับเบื้องต้น , การใช้งานมัลติมีเดียภายในบ้าน ด้วยการนำไปประกอบ HTPC, การใช้เล่นเกมด้วยการนำไปประกอบเป็น Gamer PC และ ณ ปัจจุบัน CPU ที่ได้รับความนิยมของ Intel Core i มี 2 แพล็ตฟอร์มด้วยกัน ได้แก่ Socket LGA 1150 รวมถึง Socket LGA 1151 ที่กำลังจะมาในอนาคต ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มสำหรับผู้ใช้ระดับโปร ซึ่งด้วยศักยภาพของ CPU Socket นี้ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานมัลติมีเดียทั้งหมดในปัจจุบัน แต่ถ้าหากผู้ใช้ท่านใดต้องการประสิทธิภาพระดับสูงสุด และต้องการได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่า Socket LGA 1150 คงต้องเลือกใช้แพล็ตฟอร์มที่ใหญ่กว่าอย่าง LGA 2011 ซึ่งเป็น CPU ในตระกูล Core i Extreme Edition ตอบรับต่อการประกอบใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ได้ในระบบที่ใหญ่กว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า โดยหากเป็น CPU Intel Core i ใน Socket LGA 1150 เราขอหยิบยก CPU 3 ซีรีย์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันได้แก่
Intel Core i3 Series
ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานระดับ Entry เพื่อประกอบใช้งานบนเครื่อง Office PC, HTPC, Gamer PC ระดับเบื้องต้น โดย CPU ตระกูลนี้ให้ประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับงานในองค์กรเช่น การพิมพ์เอกสาร การท่องเว็บ การค้นหาข้อมูล การทำงานกราฟิกเบื้องต้น รวมถึงการใช้งานมัลติมีเดียเบื้องต้น เช่น การรับชมภาพยนตร์ภายในบ้าน การเล่นเกมออนไลน์ หรือเกมที่กราฟิกไม่หนักมาก ซึ่ง CPU ในตระกูลเหมาะสำหรับการติดตั้งใช้งานร่วมกับการ์ดจอระดับ Mid-Range ลงมา ในทางกลับกันหากนำไปใช้งานร่วมกับการ์ดจอระดับ high-end จะไม่สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดของการ์ดจอออกมาได้
Intel Core i5 Series
เป็น CPU ระดับ Mainstream ให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Core i3 มากพอสมควร ซึ่งมีเพื่อนๆสอบถามกันเข้ามาเยอะว่า จะประกอบคอมฯเล่นเกมควรเลือกใช้ CPU ที่เป็น Core i5 หรือ Core i7 หากเลือกใช้ Core i5 จะเพียงพอรึเปล่าสำหรับการเล่นเกม ต้องบอกว่าการเล่นเกม ณ ปัจจุบัน เลือกใช้ CPU ตระกูล Core i5 ถือว่าเพียงพอแล้ว สามารถขับพลังของการ์ดจอระดับ high-end ได้อย่างสบาย อย่างเช่น การเล่นเกมความละเอียด Full HD หรือ 4K ในปัจจุบัน หากเลือกจัดสเปคทั้งในส่วน Memory และการ์ดจอร่วมกับ CPU Core i5 ได้อย่างลงตัวก็ถือว่าเล่นเกมได้อีกนาน หรือจะเป็นการรับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูง เช่น ความละเอียด 2K, 4K ก็ไม่มีปัญหา สำหรับเพื่อนๆที่มีงบประมาณที่จำกัด เราแนะนำให้เปลี่ยนตัวเลือกจาก Core i7 มาเป็น Core i5 แล้วนำงบประมาณส่วนต่างไปเลือกซื้อการ์ดจอตัวแรงจะดีกว่าครับ
Intel Core i7 Series
แน่นอนว่า CPU ในซีรีย์นี้เป็น CPU ระดับ Flagship ที่ดีที่สุดในตระกูล Intel Core i มาพร้อมกับ Core/ Threads/ Cache รวมถึง Clock Speed และสเปคโดยรวมที่สูงกว่า CPU ในตระกูลอื่นๆ รวมถึงรองรับฟีเจอร์และชุดคำสั่งสำหรับการใช้งานได้ดีในทุกรูปแบบ จึงมีคำถามว่าหากใช้ Core i5 ก็เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานมัลติมีเดีย/ เล่นเกมทั่วไป ทำไมเราจะต้องเลือกใช้หรืออัพเกรดมาสู่ CPU Core i7 แน่นอนว่าคำตอบคือเรื่องของประสิทธิภาพบน Core i7 ที่ อีกทั้งตอบรับกับเมนบอร์ดที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ในระบบใหญ่ เช่น การเชื่อมต่อการ์ดจอในแบบ Multi-GPU ซึ่งหากเลือกใช้ CPU Core i5 ก็จะไม่เพียงพอสำหรับการรีดประสิทธิภาพของการ์ดจอออกมาได้สูงสุด ซึ่งจะเห็นผลต่างชัดเจนในด้านการใช้งาน เช่น นำไปเล่นเกมจะให้ค่า FPS ที่แตกต่างกันมากพอสมควรเป็นต้น นอกจากนี้ยังมี CPU ในตระกูล Core i7 Extreme ที่ประจำการอยู่บนแพล็ตฟอร์ม LGA 2011 ที่จะมาพร้อมสเปคที่เหนือกว่า Core i7 บนแพล็ตฟอร์ม LGA 1150 เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มองหาความเป็นที่สุดในการใช้งานมัลติมีเดีย ด้วยสเปคจะรองรับการทำงานร่วมกับเมนบอร์ดที่ความจุสูงกว่า รองรับการติดตั้งอุปกรณ์ Storage ได้หลายช่องทางกว่า รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่ออื่นๆ เช่น USB/ Expansion Slot สำหรับเชื่อมต่อการ์ดจอบนแบนด์วิดท์ที่สูงกว่า เป็นต้น โดย CPU ในตระกูลนี้ มักจะนำมาประกอบ Gamer PC ระดับ Extreme เช่น เล่นเกมความละเอียด 4K เล่นเกมแบบ Multi-Display รวมถึงการนำไปประยุกต์ใช้ด้านการทำงาน เช่น นำมาติดตั้งร่วมกับการ์ดจอ WorkStation และใช้จุดเด่นด้านประสิทธิภาพของ CPU มาใช้ทำงานร่วมกันครับ
อีกจุดสำคัญคือ CPU เกรด Consumer ที่กล่าวมานี้ จะรองรับการทำงานร่วมกับ Memory แบบ Non-ECC หรือ Memory แบบปกติที่เราใช้งานกันทั่วไป สำหรับด้านประสิทธิภาพและความจุ ณ ปัจจุบันรองรับการใช้งานอย่างครอบคลุมอยู่แล้ว แต่หากมุ่งเน้นในด้านความเสถียรของระบบควรไปใช้ CPU ในตระกูล Intel Xeon ที่รองรับ Memory แบบ ECC จะดีกว่าครับ
Intel Xeon Processors
CPU ที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานโดยเฉพาะ โดยทาง Intel ออกแบบ CPU ตระกูลนี้มาสำหรับการใช้งานในกลุ่ม Server/ WorkStation ตอบสนองต่อกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียร และประสิทธิภาพสูงในการใช้ทำงาน ณ ปัจจุบัน CPU ที่คนทำงานนิยมใช้กันคือ CPU ในตระกูล E3 Series บนแพล็ตฟอร์ม LGA 1150 และ CPU ตระกูล E5 Series บนแพล็ตฟอร์ม LGA 2011 แน่นอนว่า CPU ทั้ง 2 ซีรีย์นี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิ้งในด้านประสิทธิภาพ และการรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์หรือจุดเด่นไว้ก็คือ ความทนทาน ความเสถียร ของระบบที่เหนือกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ CPU เกรด Consumer อย่าง Intel Core i เพราะ CPU ในตระกูลนี้ถูกออกแบบ/ ติดตั้งชุดคำสั่งมาสำหรับใช้ในด้านการทำงานโดยเฉพาะ ซึ่งก็จะตอบรับการใช้งานบนซอฟต์แวร์ด้านการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า และรองรับต่ออุปกร์เกรด Server/ WorkStation โดยเฉพาะอีกเช่นกัน
เป็น CPU ที่ประจำการอยู่บนแพล็ตฟอร์ม LGA 1150 โดยแต่ละรุ่นจะให้ประสิทธิภาพในระดับเดียวกับ CPU ในตระกูล Core i7 แต่จะมีความพิเศษคือฟีเจอร์เพื่อการทำงาน Server/ WorkStation คือ จะรองรับการติดตั้ง Memory ในแบบ ECC (Error Correcting Code) ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความเสถียร เพราะ Memory ชนิดนี้จะมีการตรวสอบข้อมูลเข้า/ออกทั้งหมด และทำการแก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดก่อนป้อนข้อมูลออกไป ส่งผลให้ System ที่ประกอบด้วย CPU Intel Xeon และ Memory ECC จะไร้ปัญหาเรื่อง Bluescreen หรืออาการหน่วง อาการค้าง เหมาะสำหรับงาน WorkStation ทั้งในกลุ่มงานกราฟิก, งานออกแบบ, งานตัดต่อ รวมถึงงาน WorkStation รูปแบบต่างๆได้อย่างครอบคลุม
Intel Xeon E5 Series
เป็น CPU บนแพล็ตฟอร์ม LGA 2011 ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด โดย CPU ในซีรีย์นี้จะให้ประสิทธิภาพในระดับที่เหนือกว่า CPU ตระกูล Core i7 Extreme รวมถึงความโดดเด่นในด้านความเสถียร รองรับอุปกรณ์เกรด WorkStation ได้เหนือกว่า/ หลากหลายกว่า CPU ในตระกูล E3 Series เช่นการเชื่อมต่อ CPU ในแบบ Dual-Socket, Quad-Socket/ การเชื่อมต่อการ์ดจอแบบ Multi-GPU หลายๆใบ เช่น 1x NVIDIA Quadro+ 1x NVIDIA Tesla หรือ 4x AMD FirePro เป็นเต้น รวมถึงรองรับ Memory ในแบบ ECC เพิ่มความเสถียรให้ระบบ และรองรับความจุได้มากกว่า โดยปัจจุบันรองรับความจุสูงสุดถึง 1TB เลยทีเดียว สำหรับ E5 Series ก็เหมาะสำหรับการนำไปประกอบเครื่อง Server ที่ต้องเปิดใช้งานเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งบาง System ไม่สามารถปิดเครื่องได้ หรือไม่สามารถให้เครื่องค้างได้ เพราะจะส่งผลต่อความเสียหายขององค์กรได้เลยทีเดียว หรือการประกอบเครื่อง WorkStation ระดับสูงเพื่อการทำงานออกแบบ งานกราฟิก/ตัดต่อ โปรเจ็คใหญ่ๆ หรืองานคำนวณที่ต้องการประสิทธิภาพระดับสูงสุด หรือการนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบ Zero Client ก็เหมาะเช่นกัน
หากจะให้กล่าวสรุปใจความสั้นๆระหว่าง CPU ทั้ง 2 ตระกูลนี้ก็คือ CPU แบบ Intel Core i เหมาะสำหรับการใช้งานมัลติมีเดียและการเล่นเกม โดยจะแบ่งลักษณะการใช้งานเหมือนที่ได้กล่าวไปก็คือ Core i3 เหมาะสำหรับใช้งานระดับเบื้องต้นทั่วไป/ Core i5 เหมาะสำหรับงานระดับ Mainstream เพื่อการเล่นเกมความละเอียดสูง การใช้งานมัลติมีเดียที่หลากหลาย และสุดท้าย Core i7 เหมาะสำหรับการใช้งานระดับสูงทุกรูปแบบในด้านมัลติมีเดียและการเล่นเกม รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลากหลายกว่า และรีดประสิทธิภาพของอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆได้มากที่สุด
ส่วน CPU แบบ Intel Xeon นั้นเหมาะสำหรับการใช้งาน Server/ WorkStation โดยเฉพาะ เพราะถูกออกแบบมาสำหรับด้านการทำงาน มีความเสถียร ความทนทานต่อสภาะการทำงานที่หนักหน่วง และรองรับการติดตั้งอุปกรณ์เกรด WorkStation แบบที่ไม่สามารถหาได้บนอุปกรณ์เกรด Consumer เช่น หากเลือกใช้ CPU Intel Xeon ก็จะรองรับการติดตั้ง Memory แบบ ECC ที่มีการตรวจสอบข้อผิดพลาดก่อนส่งผ่านข้อมูล จึงไร้ปัญหาเครื่องค้าง เครื่องแฮงค์ เครื่องอืด เป็นต้น หรือจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นไปอีก ด้วยการติดตั้ง CPU แบบ 2 ตัวหรือ 4 ตัว ซึ่งฟีเจอร์นี้มีเฉพาะ CPU Intel Xeon เท่านั้น รวมถึงได้รับการ Certified การใช้งานร่วมกับการ์ดจอด้านการทำงานเช่น NVIDIA Quadro, AMD FirePro ได้ดีกว่าครับ และนี่ก็เป็นการแนะนำเบื้องต้นสำหรับการใช้งานของ CPU ทั้ง 2 รูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เลือกใช้ CPU ให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน คุณจะได้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่ามากที่สุดครับ
cr.Deva's Natural
วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
รวมแอพอันตรายใน Facebook ที่คุณต้องรีบลบด่วน !!
ช่วงนี้ใครที่ใช้ facebook แทบทุกวัน
ก็จะพบว่ามีเพื่อนๆบางคนส่งแอพแปลกประหลาดมาให้เราร่วมกันคลิกกันเยอะแยะมาก
มายเต็ม wall ไปหมด บางครั้งก็เป็นกิจกรรมเกม
แต่บางครั้งแอพนี้แทบจะไร้สาระและน่ารำคาญมากๆ ซึ่งถ้าหากเรา เพิ่ม app บน
facebook ที่เราไม่รู้จักละก็
นอกเหนือจะสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนของคุณๆบน facebook แล้ว
คุณก็อาจตกเป็นเหยื่อในการกระจายพวก Scamware บน facebook
หรือตกเป็นเหยื่อโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวได้
ตัวอย่างหนึ่งในแอพอันตรายอันตรายหลายๆแอพใน facebook |
วันนี้จะขอนำเสนอรายชื่อ Application Facebook ที่คาดว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ facebook โดยทางเว็บไซต์ facerocks ซึ่งเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับรายงานข่าวด้านความปลอดภัยของ facebook นี้ ได้รวบรวมรายชื่อ Facebook Application ที่ถูกขึ้นเป็นแอพบัญชีดำ เพราะแอพเหล่านี้จะสร้างความก่อกวนแก่คุณ และเพื่อนๆของคุณบน facebook , อาจขโมยข้อมูลส่วนตัว และปล่อยไวรัสมัลแวร์กระจายต่างๆทาง facebook ได้ด้วย ซึ่งหากคุณมีแอพที่ตรงกับรายชื่อนี้ ให้ทำการลบแอพนี้ออกโดยเร็ว
รายชื่อแอพพลิเคชั่นอันตรายบน facebook ที่ทางเว็บไซต์ Facerocks ได้ประกาศเตือนขึ้นไว้เป็นบัญชีดำ ได้แก่
Are YOU Interested?
Get Revealed
Friends Secrets
ily or not
Would you rather
My Friend Secrets
Question Party
Friend Ville
friend.ly
tinychat
WAYN – Map Your Friends
Friends Photos
Daily Mood
21 Questions
love
21QUIZ12
Questions
THE FRIEND FIGHTING QUIZ
Best Looking Contest, etc.
tag friends <3
Best Friends
Are you my best friend ???
Truth Quiz
What Colour Are You!!!
Truths About You
หากพบแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ให้ทำการลบแอพนี้ออกทันทีโดยด่วนโดยเข้าไปตั้งค่าทางลิงค์นี้ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวบัญชี facebook ของคุณ รวมทั้ง Facebook เพื่อนๆของคุณด้วย
cr. Facerocks
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
10 วิธีเด็ดที่ช่วยให้อินเตอร์เน็ตวิ่งไว
ในยุคนี้ หลายๆครอบครัวก็มักจะติดอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงชนิดไร้สายไว้ในบ้านกันแล้ว แต่ในบางครั้งก็อาจจะประสบกับปัญหาต่างๆได้ เช่น สัญญาณไม่ทั่วถึง อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงช้ากว่าที่ควรจะเป็น ฯลฯ ลองมาดูกันดีกว่าว่าจะมีวิธีอะไรบ้านที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ WiFi ให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่กันบ้าง
10 วิธีเด็ดที่ช่วยให้อินเตอร์เน็ตวิ่งไว
1. พักเครื่องบ้าง
การปล่อยให้เครื่องทำงานอย่างหนักแบบข้ามวันข้ามคืนย่อมส่งผลให้เครื่องอืดมากขึ้นได้เช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปนั่นแหละ ฉะนั้น คุณควรจะปิดเครื่องให้มันได้พักผ่อนเสียบ้าง โดยปิดหลังจากที่ไม่ได้ใช้แล้วก็ดี พอจะใช้งานอีกครั้งจึงค่อยเปิดใช้งานใหม่อีกรอบ
2. หาเราเตอร์อีกตัวมาช่วยกระจายสัญญาณ
หากบ้านหรือหอพักของใครที่กว้างมากๆ ตัวปล่อยสัญญาณเพียงตัวเดียวคงจะไม่ทั่วถึงแน่ๆ ลองหาตัวช่วยย้สัญญาณหรือช่วยกระจายสัญญาณ (Access Point) มาทำหน้าที่เป็น Repeater ส่งต่อสัญญาณให้ทั่วทั้งบ้าน จะช่วยให้อินเตอร์เน็ตใช้งานได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
3. ใช้อุปกรณ์เร่งสัญญาณ
ในเราเตอร์บางรุ่น สามารถใช้เฟิร์มแวร์เสริมความแรงได้ อย่างเช่นจำพวก DD-WRT ,Tomato ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเราเตอร์ สามารถเร่งความเร็วชิปให้เพิ่มขึ้นได้
4. จัดการกับแบนด์วิตธ์
ในตัวปล่อยสัยญาณบางรุ่นจะมีระบบจัดการแบนต์วิตธ์มาให้ สามารถกำหนดความเร็วให้เหลือนิดเดียวสำหรับพวกโหลดบิตหรือเล่นเกมส์ออนไลน์ได้ คนอื่นๆก็จะได้ใช้อย่างสบายใจบ้าง
5. ใช้ประป๋องเบียร์ช่วย
ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเทเบียร์กระป๋องราดลงไปที่ตัวปล่อยสัญญาณแต่อย่างใดนะ แต่วิธีการที่ถูกต้อง ก็คือ ตัดกระป๋องเบียร์หรือกระป๋องน้ำดื่มอื่นๆมาแผ่ออกให้เป็เหมือนกับในรูป กระป๋องเหล่านี้จะช่วยบังคับทิสทางของสัยญาณเอาไว้ได้
6. เคลียร์ช่องสัญญาณให้ว่างมากที่สุด
ดิดดูสิ รถเยอะรถก็ติด ถ้าคนใช้ Wi-Fi เยอะ ก็ย่อมทำให้สัญญาณเข้าไม่ทันใจได้เช่นกัน ดังนั้น วิธีการง่ายๆที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การตั้งระหัสผ่านไว้ซะ เพื่อป้องกันคนแย่งใช้ หรือหากเป็นสัญญาณที่แชร์กันหลายๆช่อง ก็ลองเปลี่ยนไปใช้สัญญาณของช่องอื่นๆก็ได้
7. ใช้ระบบการรัษาความปลอดภัยที่สูงที่สุดเพื่อป้องกันคนมาขโมยเล่น
ถึงแม้จะมีการตั้งระหัสผ่านไว้เพื่อป้องกันคนอื่นๆมาแย่งเล่นอินเตอร์เน็ตของคุณฟรีๆแล้ว ก็อาจจะมีบางคนที่สามาถแฮกเข้ามาเล่นของได้อยู่ดี ฉะนั้นควรเลือกใช้ระบบการเข้ารหัสที่ดีที่สุด จำพวก WEP ,WPA เป็นต้น และก็ควรตั้งระหัสยากๆเข้าไว้ เช่น การผสมตัวอักษรและตัวเลข ตัวพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ หรือการใส่อักขระพิเศษรวมเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนรพัสผ่านเป็นประจำเสมอ คนอื่นๆจได้ตามคุณไม่ทันนั้นเอง
8. วางไว้ให้ห่างจากโทณศัพท์บ้าน
คลื่นความถี่ที่ตัวปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ที่ใช้โดยส่วนใหญ่จะเป็น 2.4GHz ซึ่งเป็นคลื่นเดียวกันกับโทรศัพท์บ้าน ถ้าวางสองสิ่งนี้เอาไว้ใกล้ๆกัน ก็อาจจะทำให้เกิดการรบกวนสัญญาณซึ่งกันและกันได้
9. เลือกวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ปัญหาสำคัญที่ทำให้สัญญาณหายหรือสัญญาณไม่แรง ก็คือ จุดปล่อยคลื่นเป็นมุมอับกระจาย เพียงคุณลองย้ายเปลี่ยนตำแหน่งดู โดยพยายามวางไว้ในที่โล่งกว้างซักหน่อย การกระจายของสัญญาณก็จะทั่วถึงมากยิ่งขึ้นแน่นอน
10. เลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
แน่อนว่าของใหม่ล่าสุดย่อมดีกว่าของเก่าเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน หรือแม้แต่ตัวสัญญาณ Wi-Fi ก็ตาม ฉะนั้น จึงควรเปลี่ยนตัวปล่อยสัญญาณตามกาลเวลา เพื่อให้อุปกรณ์ของคุณสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่
cr.thaijobsgov
10 วิธีเด็ดที่ช่วยให้อินเตอร์เน็ตวิ่งไว
1. พักเครื่องบ้าง
การปล่อยให้เครื่องทำงานอย่างหนักแบบข้ามวันข้ามคืนย่อมส่งผลให้เครื่องอืดมากขึ้นได้เช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปนั่นแหละ ฉะนั้น คุณควรจะปิดเครื่องให้มันได้พักผ่อนเสียบ้าง โดยปิดหลังจากที่ไม่ได้ใช้แล้วก็ดี พอจะใช้งานอีกครั้งจึงค่อยเปิดใช้งานใหม่อีกรอบ
2. หาเราเตอร์อีกตัวมาช่วยกระจายสัญญาณ
หากบ้านหรือหอพักของใครที่กว้างมากๆ ตัวปล่อยสัญญาณเพียงตัวเดียวคงจะไม่ทั่วถึงแน่ๆ ลองหาตัวช่วยย้สัญญาณหรือช่วยกระจายสัญญาณ (Access Point) มาทำหน้าที่เป็น Repeater ส่งต่อสัญญาณให้ทั่วทั้งบ้าน จะช่วยให้อินเตอร์เน็ตใช้งานได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ในเราเตอร์บางรุ่น สามารถใช้เฟิร์มแวร์เสริมความแรงได้ อย่างเช่นจำพวก DD-WRT ,Tomato ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเราเตอร์ สามารถเร่งความเร็วชิปให้เพิ่มขึ้นได้
4. จัดการกับแบนด์วิตธ์
ในตัวปล่อยสัยญาณบางรุ่นจะมีระบบจัดการแบนต์วิตธ์มาให้ สามารถกำหนดความเร็วให้เหลือนิดเดียวสำหรับพวกโหลดบิตหรือเล่นเกมส์ออนไลน์ได้ คนอื่นๆก็จะได้ใช้อย่างสบายใจบ้าง
5. ใช้ประป๋องเบียร์ช่วย
ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเทเบียร์กระป๋องราดลงไปที่ตัวปล่อยสัญญาณแต่อย่างใดนะ แต่วิธีการที่ถูกต้อง ก็คือ ตัดกระป๋องเบียร์หรือกระป๋องน้ำดื่มอื่นๆมาแผ่ออกให้เป็เหมือนกับในรูป กระป๋องเหล่านี้จะช่วยบังคับทิสทางของสัยญาณเอาไว้ได้
6. เคลียร์ช่องสัญญาณให้ว่างมากที่สุด
ดิดดูสิ รถเยอะรถก็ติด ถ้าคนใช้ Wi-Fi เยอะ ก็ย่อมทำให้สัญญาณเข้าไม่ทันใจได้เช่นกัน ดังนั้น วิธีการง่ายๆที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การตั้งระหัสผ่านไว้ซะ เพื่อป้องกันคนแย่งใช้ หรือหากเป็นสัญญาณที่แชร์กันหลายๆช่อง ก็ลองเปลี่ยนไปใช้สัญญาณของช่องอื่นๆก็ได้
7. ใช้ระบบการรัษาความปลอดภัยที่สูงที่สุดเพื่อป้องกันคนมาขโมยเล่น
ถึงแม้จะมีการตั้งระหัสผ่านไว้เพื่อป้องกันคนอื่นๆมาแย่งเล่นอินเตอร์เน็ตของคุณฟรีๆแล้ว ก็อาจจะมีบางคนที่สามาถแฮกเข้ามาเล่นของได้อยู่ดี ฉะนั้นควรเลือกใช้ระบบการเข้ารหัสที่ดีที่สุด จำพวก WEP ,WPA เป็นต้น และก็ควรตั้งระหัสยากๆเข้าไว้ เช่น การผสมตัวอักษรและตัวเลข ตัวพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ หรือการใส่อักขระพิเศษรวมเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนรพัสผ่านเป็นประจำเสมอ คนอื่นๆจได้ตามคุณไม่ทันนั้นเอง
8. วางไว้ให้ห่างจากโทณศัพท์บ้าน
คลื่นความถี่ที่ตัวปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ที่ใช้โดยส่วนใหญ่จะเป็น 2.4GHz ซึ่งเป็นคลื่นเดียวกันกับโทรศัพท์บ้าน ถ้าวางสองสิ่งนี้เอาไว้ใกล้ๆกัน ก็อาจจะทำให้เกิดการรบกวนสัญญาณซึ่งกันและกันได้
9. เลือกวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ปัญหาสำคัญที่ทำให้สัญญาณหายหรือสัญญาณไม่แรง ก็คือ จุดปล่อยคลื่นเป็นมุมอับกระจาย เพียงคุณลองย้ายเปลี่ยนตำแหน่งดู โดยพยายามวางไว้ในที่โล่งกว้างซักหน่อย การกระจายของสัญญาณก็จะทั่วถึงมากยิ่งขึ้นแน่นอน
10. เลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
แน่อนว่าของใหม่ล่าสุดย่อมดีกว่าของเก่าเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน หรือแม้แต่ตัวสัญญาณ Wi-Fi ก็ตาม ฉะนั้น จึงควรเปลี่ยนตัวปล่อยสัญญาณตามกาลเวลา เพื่อให้อุปกรณ์ของคุณสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่
cr.thaijobsgov
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558
รู้ไหมนี่คือ 5 เครื่องสำอางค์สำคัญที่เกมเมอร์ต้องใช้เวลาเล่นเกม
กลับมาพบกับบทความเกมเมอร์เกรียนๆ by CodeError กันอีกแล้วนะครับ วันนี้ผมจะขอเสนอเนื้อหาที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเกมสักเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่ามันคือสิ่งสำคัญมากที่เกมเมอร์ส่วนใหญ่หลงลืม ไม่ใส่ใจ ละเลยอย่างให้อภัยไม่ได้มาฝากครับ วันนี้ผมจะพูดถึงเครื่องสำอางค์ที่เกมเมอร์ทั้งหลายควรจะมี และควรจะใช้เวลาเราเล่นเกมอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ
ด้วยมลภาวะต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเกมเมอร์ในสมัยนี้มันช่างทำร้ายร่างกายพวกเราจังเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเรา(โดยเฉพาะแอดมิน) ทำให้เราต้องใส่ใจตัวเองมากขึ้น แต่ด้วยการที่เราต้องลงดันเก็บเลเวลแทบจะไม่ได้ลุกไปไหนเลย มันจึงทำให้เราต้องพึ่งเจ้าสิ่งของเหล่านี้ในการป้องกันช่วงเวลาแห่งวัยทั้งปวงจะมีอะไรบ้างนั้นต้องอ่าน
มาเริ่มอย่างแรกที่เราจะพูดถึงกันก่อนเลยนะกับ ซันบล๊อค หรือเบสรองพื้น ว่ากันว่าหน้าตาคือหน้าต่างของหัวใจ เพราะฉะนั้นแล้วการที่เราต้องนั่งหน้าจอกรองรังษี UVA UVB จากจอคอมทั้งวัน แน่นอนว่ามันไม่ดีกับหนังหน้าเป็นแน่แท้ เกมเมอร์วัยกระเตาะอายุไม่เยอะ อาจจะไม่เห็นความสำคัญ แต่ถ้าเป็นเกมเมอร์วัย 25UP แล้วละก็ควรจะใส่ใจเรื่องนี้ให้มากๆ เพราะผิวหน้านั้นเป็นอะไรที่บอบบางมาก หากมีริ้วรอยหรือจุดด่างดำขึ้นมาละก็ยากที่จะแก้ไขเลยนะ ดังนั้นการประทินใบหน้าด้วยครีมหรือแป้งรองพื้นที่มีส่วนผสมของ SPF 15 ก็เพียงพอแล้วสำหรับเกมเมอร์
ต่อมาคือโลชั่นทาผิว เกมเมอร์หลายคนอาจจะไม่ทราบเลยว่าการนั่งเล่นเกมอยู่นานๆ นั้นทำให้ผิวแห้งได้ ถ้าเรานั่งเล่นเกมในห้องแอร์หรือตามร้านเกมที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ นี่ยิ่งเป็นตัวเร่งการกระเหยของความชุ่มชื่นใต้ผิวหนังอย่างแรงเลยทีเดียว เพราะรังษี UV จากจอคอม และอากาศที่ถูกฟอกมาจากคอมพิวเตอร์นั้น จะปรับสภาพอากาศให้เป็นบวก ซึ่งมันจะตรงข้ามกับน้ำในชั้นผิวเราที่เป็นประจุลบ ดังนั้น น้ำใต้ผิวเราจะถึงดูดออกไปอย่างรวดเร็วส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้ง ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือการทาโลชั่นเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำใต้ชั้นผิวเรา ซึ่งนอกจากจะกันแล้วยังส่งผลให้ผิวเรานุ่มนวล น่าสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง
ลิปมันหรือวาสลีน หลังจากพูดถึงใบหน้าและผิวกายกันแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันนั่นคือริมฝีปาก เพราะเมื่อเกมเมอร์นั่งบ่น กร่น ด่า เพื่อนในเกมแบบ Non stop อาจจะส่งผลให้ริมฝีปากนั้นแห้งกรัง แตกเป็นขุยลายงา บางคนพอรู้ตัวว่าปากแห้งก็ชอบหาอะไรมาหนีบเอาขุยที่แห้งนั้นออกเกำเกิดเป็นแผลเลือดออกซิปๆ ตามอีกต่างหาก หรือบางท่านพอรู้ตัวว่าริมฝีปากแห้งก็แลบลิ้นยาวๆ ว่าเลียแพล๊บๆ ตรงริมฝีปาก รู้ไหมว่าน้ำลายนะมันทำให้ปากเรายิ่งแห้งกว่าเดิมนะ เพราะงั้น การมีลิปมัน หรือลิปกรอสสักแท่งหรือ วาสลีนสักกระปุกวางไว้ตรงหน้าจอคอม ก็ดีไม่น้อยยนะ (ส่วนวาสลีนใครจะเอาไปใช้อย่างอื่นก็ไม่ว่ากัน)
น้ำตาเทียม อันนี้บางคนอาจจะไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ แต่เชื่อไหมว่าน้ำตาเทียมเนี่ยมันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดเลยนะเวลาที่เราต้องนั่งจ้องจอคอมนานๆ เพราะน้ำในตาเราจะเสียความชุ่มชื้นไปเรื่อยๆ แต่ยังดีที่ร่างกายเราจะรู้ตัวว่าถ้าตาแห้ง เราก็จะกระพริบตาเองตามปกติ แต่ในกรณีที่หลายคนดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายมีน้ำไม่เพียงพอเลยทำให้น้ำตาที่จะเป็นเหมือนที่เช็ดกระจกตาเราน้อยลงไปด้วย ดังนั้น น้ำตาเทียมถือเป็นตัวช่วยสำคัญแถมยังทำให้ตาเราสดใส ส่องประกายปริ๊งปรั้ง เวลาเราเล่น Camfrog อีกด้วย
เจลล้างมือ อันสุดท้ายนี่ขาดไม่ได้เลยนะ เพราะเกมเมอร์ทุกคนชอบที่จะดำรงชีวิตอยู่หน้าจอคอมแทบจะไม่ลุกไปไหนเลย แม้แต่กดโพชั่นกินขนม หรือกินข้าวก็ยังยกมานั่งกินตรงหน้าจอเพราะกลัวจะพลาดการรูทของเวลาลงดัน ดังนั้นเพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่คอยอาศัยอยู่ตามเม้าส์และแป้นพิมพ์ ซึ่งรู้กันอยู่ว่า 2 อย่างนี้คือแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคภัยมากที่สุด เพราะฉะนั้นเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับเกมเมอร์ที่ชอบสิงสู่อยู่หน้าจอคอมครับ
หลายคนอาจจะไม่สนใจไม่ใส่ใจ ดูแลสุขภาพของตัวเอง ปล่อยปะละเลยให้ร่างกาย เซอร์ ซ๊กม๊ก หรือจะเรียกว่าเกมเมอร์ฮิปสเตอร์ ที่ต้องตัวแห้งๆ ผิวหยาบๆ ปากแห้ง หัวฟูๆ ผมว่าได้เวลาเปลี่ยนตัวเองให้เค้ามองเราว่า เราก็เป็นเกมเมอร์สายสุขภาพดี healthy Gamer ที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องเปลี่ยนความคิดกันดีกว่าครับ
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558
16 ความสามารถที่หูฟัง iPhone ทำได้ที่คุณยังไม่รู้?
สำหรับมือใหม่และคนที่ใช้ iPhone กันอยู่แล้ว อาจไม่ทราบว่าหูฟังของ iPhone มีวิธีใช้งานหูฟังให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยเทคนิคที่ Apple ใส่มาให้นี้ มีถึง 10 เทคนิคกับการควบคุมการใช้งานหูฟังเช่น วางสาย รับสาย เปลี่ยนเพลง และอื่นๆโดยการใช้แค่ 3 ปุ่มของตัวคอนโทรลเลอร์ของหูฟังเท่านั้น !!
1. กดแล้วปล่อยตรงปุ่ม C 1 ครั้งเพื่อใช้เล่นเพลงในแอพ Music ของเครื่อง (แอพเล่นเพลงอื่นๆ ก็ใช้บังคับได้เหมือนกัน)
2. ถ้าต้องการหยุดการเล่นเพลงให้กดปุ่ม C 1 ครั้งในระหว่างที่เล่นเพลงเพื่อหยุด
3. กดปุ่ม C ติดกัน 2 ครั้งเพื่อเป็นการเล่นเพลงถัดไป (Forward)
4. กดปุ่ม C 3 ครั้งติดกันเพื่อย้อนไปเริ่มเล่นเพลงที่กำลังฟังอยู่ เผื่อว่าชอบดนตรีตอนขึ้นเพลงอะไรแบบนี้ก็กดไปไปซ้ำกันได้
5. กดปุ่ม C ติดกัน 3 ครั้งอีกครั้งจะเป็นการย้อนขึ้นไปเล่นเพลงก่อนหน้าที่เรากำลังฟังอยู่ (Backward)
6. กดปุ่ม C 2 ครั้งติดกันและครั้งที่ 2 ที่กด ให้กดค้างไว้จะเป็นการกรอเพลงขึ้นไปข้างหน้า
7. กดปุ่ม C 3 ครั้งติดกัน และครั้งที่ 3 ให้กดค้างไว้จะเป็นการกรอเพลงย้อนหลังกลับไป
8. ถ้ามีสายโทรเข้าให้กดปุ่ม C เพื่อรับสาย ด้านหลังปุ่มต่างๆ จะเป็นไมค์สำหรับสนทนาใช้คุยสายได้เลย
9. ถ้าระหว่างที่คุยโทรศัพท์กับสายแรกอยู่ มีสายเรียกเข้าเป็นสายซ้อนเข้ามาให้กดปุ่ม C 1 ครั้งเพื่อรับสายเรียกซ้อน
10. ระหว่างคุยโทรศัพท์อยู่ถ้ามีสายเรียกซ้อนและไม่ต้องการรับสายซ้อน ให้กดปุ่ม C ค้างไว้สักครู่ อย่างน้อย 2 วินาที สายเรียกซ้อนก็จะถูกตัดสายไป
11. ถ้าต้องการวางสายหลังจากที่คุยสายแล้วให้กดปุ่ม C 1 ครั้งเพื่อวางสาย
12. เมื่อมีสายโทรเข้าและไม่ต้องการรับสายขณะนั้นให้กดปุ่ม C ค้างไว้เพื่อเป็นการตัดสายที่โทรเข้ามา
13. ถ้าต้องการเรียกใช้ Siri/Voice Control ปกติเราจะต้องกดปุ่ม Home ที่ตัวเครื่องค้างไว้ แต่ถ้าตัวเครื่องเสียบหูฟังอยู่ให้กดปุ่ม C ค้างไว้เพื่อเรียกใช้งาน Siri/Voice Control และใช้ไมค์เพื่อสั่งงานได้เลย
14. ปุ่ม B และ D สามารถใช้กดถ่ายรูปได้ ที่หน้าถ่ายรูปเป็นการลั่นชัตเตอร์ (คล้ายๆ สายลั่นชัตเตอร์)
15. สามารถใช้ไมค์ของหูฟังซ่อนใต้คอเสื้อและบันทึกเสียงกรณีถ่ายวีดีโอด้วยกล้องอีกตัว จากนั้นค่อยนำเสียงมาตัดต่อจะได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเสียงจากไมค์ของกล้อง
16. สายหูฟังที่ขาดแล้วสามารถนำมาประยุกต์เป็นไมค์ภายนอกได้
ทิปต่างๆ เหล่านี้เราจะใช้ประโยชน์กันตอนไหน ง่ายๆ เลยครับ ยกตัวอย่างเช่น เอาโทรศัพทืไว้ในกระเป๋า แล้วใส่หูฟังอยู่ไม่อยากล้วงกระเป๋าหยิบ iPhone ออกมาเพื่อเปลี่ยนเพลง เลื่อนเพลงไปข้างหน้า ก็ใช้ทิปเหล่านี้กดปุ่มจากหูฟัง iPhone แทนครับ ตัวอย่างง่ายๆ แบบนี้เป็นต้น ไม่ต้องหยิบ iPhone ออกมาจากกระเป๋าก็บังคับการเล่นเพลงได้แล้ว เอาไว้ครั้งหน้าถ้ามีทิปการใช้งานอย่างอื่นอีกจะเอามาฝากกันใหม่นะจ้าาาาาาา
Cr. TrueMove H
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ฮาร์ดแวร์ : ฮาร์ดดิสก์ WD สีไหนเหมาะสำหรับคุณ
คุณเคยสงสัยหรือไม่ ว่าฮาร์ดดิสก์ประสิทธิภาพสูงจาก Western Digital (WD) มีอยู่หลายสีด้วยกัน และแต่ละสีบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานที่แตกต่างกัน มีคำถามมากมายบนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ WD นี้ว่าควรเลือกสีไหนดีถึงจะคุ้มค่าและประสิทธิภาพเหมาะสมกับงานของคุณที่สุด หากคุณอยากรู้คำตอบเราจัดเตรียมไว้ให้คุณที่นี่แล้ว
###########################################
เมื่อเปิดใช้งานเป็นระยะทีมงานจาก WD เทียบกันให้เห็นระหว่าง WD Blue และ WD Purple ตรวจสอบโดยใช้ Software วัดจากเครื่องสตรีมกล้องวงจรปิดพบกว่า WD Purple ร้อนน้อยกว่า WD Blue ประมาณ 5 องศาเซลเซียส (ทีมงานจาก WD โปรโมทว่าใช้งานจริงอย่างหนักอาจต่างกันถึง 10 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว)
WD Blue
Harddisk WD Blue ฮาร์ดดิสก์จาก Western Digital(WD) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและผลิตอุปกรณ์จัดเก็บและรักษาข้อมูลดิจิตอลระดับโลก ในรุ่นของ WD Blue 1TB / 7200 SATA III นี้เหมาะกับการใช้งานทุกวัน อาทิเช่น การสำรองข้อมูล งานเอกสาร สื่อมัลติมีเดียทุกชนิด ด้วยความจุ 1TB นี้สามารถเก็บเพลงได้มากถึง 250,000 เพลงหรือภาพถ่าย 200,000 ภาพ ฮาร์ดดิสก์ในรุ่น WD Blue 1TB / 7200 SATA III นี้มีความเร็วในการหมุนอยู่ที่ 7,200 รอบและด้วยการส่งข้อมูลแบบ SATA III ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าการบันทึกข้อมูลและเรียกใช้งานข้อมูลต่างๆ สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ดูไฟล์วีดีโอต่างๆได้ไม่สะดุด แม้แต่การทำงานก็มีความเสถียรเหมาะสำหรับการใช้งานในบ้านและในออฟฟิศของคุณเป็นอย่างยิ่ง รองรับทุกระบบปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็น Windows XP , Windows 7 , Windows 8 , MacOS , Linux , Ubuntu ก็สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกไม่มีปัญหาใดๆ นอกจากนี้ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ Harddisk WD Blue 1TB / 7200 SATA III นี้ยังช่วยปกป้องข้อมูลและยืดอายุการใช้งานของคุณอีกด้วย
คุณสมบัติพิเศษ
-เทคโนโลยี NoTouch? ramp load : เทคโนโลยีพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะให้สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานโดยที่หัวบันทึกข้อมูล จะไม่สัมผัสกับตัวดิสก์ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าการเสื่อมของตัวฮาร์ดดิสก์ที่เกิดจากการใช้งานในทุกๆวันของคุณนั้นจะส่งผลต่อฮาร์ดดิสก์น้อยที่สุด
-เทคโนโลยี IntelliSeek? : เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน และลดการสั่นสะเทือนรวมถึงเสียงรบกวนจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์
-เทคโนโลยี ShockGuard? : อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันระบบกลไกภายใน harddisk จากการสั่นสะเทือนที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้าย หรือพกพา
-เทคโนโลยี IntelliSeek? : เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน และลดการสั่นสะเทือนรวมถึงเสียงรบกวนจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์
-เทคโนโลยี ShockGuard? : อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันระบบกลไกภายใน harddisk จากการสั่นสะเทือนที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้าย หรือพกพา
###########################################
WD Green
ฮาร์ดไดร์ฟ WD Green 1TB IntelliPower SATA III ฮาร์ดดิสก์จาก Western Digital(WD) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและผลิตอุปกรณ์จัดเก็บและรักษาข้อมูลดิจิตอลระดับโลก ในรุ่นของ WD Green นี้ออกแบบมาเพื่อความเหมาะสมในการใช้งานฮาร์ดไดร์ฟกับการสำรองข้อมูล ด้วยความจุ 1TB นี้สามารถเก็บเพลงได้มากถึง 250,000 เพลงหรือภาพถ่าย 200,000 ภาพ พร้อมด้วยเทคโนโลยี WD GreenPower มีความโดดเด่นในเรื่องการประหยัดพลังงาน การลดความร้อนในการทำงานได้เป็นอย่างดีและความเร็วของรอบหมุนในตัวฮาร์ดไดร์ฟจะปรับการทำงานตามความเหมาะสมที่ใช้งาน(IntelliPower) เทคโนโลยีที่สนับสนุนการรูปแบบการทำงานของ WD Green 1TB IntelliPower SATA III นี้ส่งผลต่อการใช้งานระยะยาวคือสามารถยืดอายุการใช้งานของฮาร์ดไดร์ฟได้มากกว่าฮาร์ดไดร์ฟรุ่นอื่น สามารถช่วยให้คุณประหยัดพลังงานได้มากขึ้นด้วย ฮาร์ดไดร์ฟ WD Green 1TB IntelliPower SATA III เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้านและในออฟฟิศของคุณเป็นอย่างยิ่ง รองรับทุกระบบปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็น Windows XP , Windows 7 , Windows 8 , MacOS , Linux และ Ubuntu ก็สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกไม่มีปัญหาใดๆ
คุณสมบัติพิเศษ
-เทคโนโลยี NoTouch? ramp load : เทคโนโลยีพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะให้สามารถช่วยยืด อายุการใช้งานโดยที่หัวบันทึกข้อมูล จะไม่สัมผัสกับตัวดิสก์ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าการเสื่อมของตัวฮาร์ดดิสก์ที่เกิดจากการใช้งานในทุกๆวันของคุณนั้นจะส่งผลต่อฮาร์ดดิสก์น้อยที่สุด
-เทคโนโลยี IntelliSeek? : เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน และลดการสั่นสะเทือนและลดเสียงรบกวนจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์
###########################################
-เทคโนโลยี IntelliSeek? : เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน และลดการสั่นสะเทือนและลดเสียงรบกวนจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์
###########################################
WD Black
ฮาร์ดดิสก์ WD Black 1000/7200 SATA III ฮาร์ดดิสก์จาก Western Digital(WD) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและผลิตอุปกรณ์จัดเก็บและรักษาข้อมูลดิจิตอลระดับโลก ในรุ่นของ WD Black นั้นออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในระดับสูง เนื่องจากมีความเร็วรอบหมุนสูงถึง 7,200 รอบ หน่วยประมวลผลแบบคู่เพิ่มเสริมประสิทธิภาพการใช้งานของฮาร์ดดิสก์ รวมถึงไดนามิกแคชเป็นระบบที่จัดสรรค์การทำงานระหว่างการเขียนและการอ่านให้ เหมาะสม ทำให้ลดปัญหาการติดขัดของการส่งข้อมูลช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม ของฮาร์ดดิสก์อีกด้วย นอกจากนี้ฮาร์ดดิสก์ WD Black 1000/7200 SATA III เลือกใช้วัตถุดิบที่มีความแข็งแรงกว่าฮาร์ดดิสก์ WD ในรุ่นอื่น คุณมั่นใจได้เลยว่าสามารถใช้งานหนักได้ในทุกวัน รองรับทุกฟังก์ชั่นการทำงาน และด้วยความจุ 1TB นี้สามารถเก็บเพลงได้มากถึง 250,000 เพลงหรือภาพถ่าย 200,000 ภาพ แม้แต่การทำงานตัดต่อวีดีโอ การเล่นเกมส์หนักๆ งานออกแบบมัลติมีเดียที่ต้องใช้ประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์สูง ฮาร์ดดิสก์ WD Black 1000/7200 SATA III สามารถตอบโจทย์ให้คุณได้ คุณสามารถนำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศหรือนำมาใช้ภายในบ้านก็ไม่มีปัญหา แต่อย่างใด อีกทั้งยังรองรับทุกระบบปฏิบัติการในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น Windows XP , Windows 7 , Windows 8 , MacOS , Linux , Ubuntu
คุณสมบัติพิเศษ
-Dual Processor หน่วยประมวลผลแบบคู่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น
-Dynamic Cache จัดสรรค์การทำงานระหว่างการเขียนและการอ่านให้เหมาะสม ทำให้ลดปัญหาการติดขัดของการส่งข้อมูลอีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำ งานโดยรวมของฮาร์ดดิสก์
-เทคโนโลยี NoTouch? ramp load : เทคโนโลยีพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะให้สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานโดยที่หัว บันทึกข้อมูล จะไม่สัมผัสกับตัวดิสก์ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าการเสื่อมของตัวฮาร์ดดิสก์ ที่เกิดจากการใช้งานในทุกๆวันของคุณนั้นจะส่งผลต่อฮาร์ดดิสก์น้อยที่สุด
-StableTrac? ช่วยให้มอเตอร์หัวอ่านทำงานได้อย่างปลอดภัยทั้งสองด้าน ลดการเกิดแรงสั่นสะเทือนของระบบและให้จานหมุนทำงานได้อย่าเสถียร ช่วยให้ฮาร์ดดิสก์สามารถการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั้งใน ระหว่างการอ่านและเขียน
-Dynamic Cache จัดสรรค์การทำงานระหว่างการเขียนและการอ่านให้เหมาะสม ทำให้ลดปัญหาการติดขัดของการส่งข้อมูลอีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำ งานโดยรวมของฮาร์ดดิสก์
-เทคโนโลยี NoTouch? ramp load : เทคโนโลยีพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะให้สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานโดยที่หัว บันทึกข้อมูล จะไม่สัมผัสกับตัวดิสก์ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าการเสื่อมของตัวฮาร์ดดิสก์ ที่เกิดจากการใช้งานในทุกๆวันของคุณนั้นจะส่งผลต่อฮาร์ดดิสก์น้อยที่สุด
-StableTrac? ช่วยให้มอเตอร์หัวอ่านทำงานได้อย่างปลอดภัยทั้งสองด้าน ลดการเกิดแรงสั่นสะเทือนของระบบและให้จานหมุนทำงานได้อย่าเสถียร ช่วยให้ฮาร์ดดิสก์สามารถการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั้งใน ระหว่างการอ่านและเขียน
###########################################
WD Red
WD Red 2000/7200 SATS III ฮาร์ดดิสก์ประสิทธิภาพสูงจาก Western Digital(WD) ผู้ออกแบบและผลิตอุปกรณ์จัดเก็บและรักษาข้อมูลดิจิตอลระดับโลก ในรุ่นของ WD Red 2000/7200 SATS III นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการนำไปใช้เก็บช้อมูลสำรองในคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือการใช้เป็นไดร์ฟสำรองแบบเครือข่ายในบ้าหรือแบบเครือข่ายในสำนักงานก็สามารถนำมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม จุดเด่นที่สำคัญใน WD Red 2000/7200 SATS III นั้นก็เพื่อออกแบบมาให้รองรับการใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงของทุกๆวัน โดย WD Red 2000/7200 SATS III ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับระบบ "NAS(Network Attached Storage)" เป็นหลัก ซึ่งระบบ NAS นี้เป็นการเก็บข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายที่ต้องมีการทำงานอยู่ตลอดเวลา หากคุณกำลังหาฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการทำงานสูง และสามารถใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยไม่ต้องกังวลว่าฮาร์ดดิสก์จะเสียหายจากการใช้งานอย่างต่อเนื่องฮาร์ดดิสก์รุ่น WD Red 2000/7200 SATS III นี้จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
ฮาร์ดดิสก์ WD Red 2000/7200 มาพร้อมกับเทคโนโลยี IntelliPower ที่มีการปรับรอบหมุนของฮาร์ดดิสก์ให้สัมพันธ์กับการใช้งาน ช่วยลดความร้อนในตัวฮาร์ดดิสก์ ยืดอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์และลดการใช้พลังงาน WD Red 2000/7200 มีความจุ 2TB สามารถสำรองรูปได้สูง 400,000 รูป หรือมากถึงเพลง 500,000 เพลง
ฮาร์ดดิสก์ WD Red 2000/7200 มาพร้อมกับเทคโนโลยี IntelliPower ที่มีการปรับรอบหมุนของฮาร์ดดิสก์ให้สัมพันธ์กับการใช้งาน ช่วยลดความร้อนในตัวฮาร์ดดิสก์ ยืดอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์และลดการใช้พลังงาน WD Red 2000/7200 มีความจุ 2TB สามารถสำรองรูปได้สูง 400,000 รูป หรือมากถึงเพลง 500,000 เพลง
คุณสมบัติพิเศษ
-ประสิทธิภาพในการทำงานสูง สามารถในการใช้งานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงของทุกวัน สามารถใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือระบบเครือข่ายในบ้านและออฟฟิศได้อย่างสะดวกสามารถใช้งานร่วมกับระบบ NAS ได้อย่างดี
-NASware เทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำงานร่วมกับระบบ NAS มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานได้อย่างเหมาะสมกับระบบ RAID
-เทคโนโลยี 3D Active Balance Plus ที่ช่วยควบคุมการทำงานภายในฮาร์ดดิสก์ให้มีประสิทธิภาพและเกิดสมดุล ลดการสั่นสะเทือนและลดเสียงรบกวนขณะฮาร์ดดิสก์กำลังทำงาน ช่วยทำให้ฮาร์ดดิสก์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
-NASware เทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำงานร่วมกับระบบ NAS มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานได้อย่างเหมาะสมกับระบบ RAID
-เทคโนโลยี 3D Active Balance Plus ที่ช่วยควบคุมการทำงานภายในฮาร์ดดิสก์ให้มีประสิทธิภาพและเกิดสมดุล ลดการสั่นสะเทือนและลดเสียงรบกวนขณะฮาร์ดดิสก์กำลังทำงาน ช่วยทำให้ฮาร์ดดิสก์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
###########################################
WD Purple
WD บริษัทในเครือของเวสเทิร์น ดิจิตอล และครองตำแหน่งผู้นำระดับโลกด้านอุตสาหกรรมการจัดเก็บข้อมูล ประกาศพร้อมวางจำหน่าย WD Purple ฮาร์ดดิสก์รุ่นล่าสุดผลิตขึ้นตามวัตถุประสงค์การใช้งานเฉพาะขนาด 3.5 นิ้ว มาพร้อมความจุระดับสูงสำหรับการใช้งานกับกล้องวงจรปิด ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับใช้งานกับกล้องวิดีโอเฝ้าระวังภัย เหมาะสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ หรือระบบเดิมที่มีอยู่ภายในบ้าน รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยของธุรกิจขนาดเล็ก
ฮาร์ดดิสก์ WD Purple สามารถรองรับฮาร์ดดิสก์ได้สูงสุดจำนวนแปดตัว และกล้องวิดีโอความละเอียดสูง (HD) ได้มากสูงสุดถึง 32 ตัว ฮาร์ดิสก์รุ่น WD Purple พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ นำเสนอระดับความจุตั้งแต่ 1 TB ถึง 4 TB อีกทั้งยังจะได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ทนทานต่อสภาพการใช้งานแบบสมบุกสมบัน สำหรับการบันทึก PVR, DVR and NVR ในระบบดิจิตอลที่ต้องเปิดทำงานตลอดเวลาแล้ว ฮาร์ดดิสก์รุ่นนี้ยังกินไฟต่ำ และมีคุณสมบัติขั้นสูงในด้านประสิทธิภาพที่สงวนไว้เฉพาะสำหรับการจัดเก็บข้อมูลในระดับองค์กร
เทคโนโลยีการออกแบบมาโดยเฉพาะ รวมถึงการควบคุมการทำงานด้วย Firmware พิเศษทำให้มีเทคโนโลยีเฉพาะทางที่ Desktop ไม่มีอย่าง
AllFrame? ช่วยลดการสูญเสียของไฟล์วีดีโอที่บันทึก เป็นเทคโนโลยีการจัดการแคชที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้การส่งข้อมูลต่อเนื่องยิ่งขึ้น รวมถึง Firmware พิเศษที่มีอยู่ภายในป้องกันภาพแตกหรือการขัดจังหวะเล็กน้อยเวลาบันทึกภาพ
Advanced Format Technology? (AFT) เป็นการเพิ่มความจุของข้อมูลต่อพื้นที่ เพื่อให้มีความจุที่มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูลหลายบิต (Burst) ได้ถึง 50% โดยใช้รหัส ECC (รหัสแก้ไขข้อผิดพลาด) ที่ใหญ่กว่าเดิม
เทคโนโลยีการออกแบบมาโดยเฉพาะ รวมถึงการควบคุมการทำงานด้วย Firmware พิเศษทำให้มีเทคโนโลยีเฉพาะทางที่ Desktop ไม่มีอย่าง
AllFrame? ช่วยลดการสูญเสียของไฟล์วีดีโอที่บันทึก เป็นเทคโนโลยีการจัดการแคชที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้การส่งข้อมูลต่อเนื่องยิ่งขึ้น รวมถึง Firmware พิเศษที่มีอยู่ภายในป้องกันภาพแตกหรือการขัดจังหวะเล็กน้อยเวลาบันทึกภาพ
Advanced Format Technology? (AFT) เป็นการเพิ่มความจุของข้อมูลต่อพื้นที่ เพื่อให้มีความจุที่มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูลหลายบิต (Burst) ได้ถึง 50% โดยใช้รหัส ECC (รหัสแก้ไขข้อผิดพลาด) ที่ใหญ่กว่าเดิม
WD PURPLE มีอะไรพิเศษ?
เปรียบเทียบการใช้งานฮาร์ดดิสก์ที่ต้องใช้ในกล้องวงจรปิดกับฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ทั่วไป จะเห็นว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานแบบลืมตาย 24 ชั่วโมงและงานที่ทำเป็นเขียนถึง 95% และอุณหภูมิในการทำงานจำเป็นต้องทนความร้อนให้สูงกว่า และเปรียบเทียบให้เห็นว่า WD Purple ทำงานโหลดข้อมูลเฉลี่ยถึง 60 TB ต่อปีในขณะที่การใช้งานทั่วไปอย่าง WD Blue ทำงานโหลดข้อมูลเฉลี่ยเพียงแค่ 55 TB ต่อปี แต่ถ้าหากเป็นกล้องวงจรปิดตามโรงงานที่มากกว่า 32 ตัวขึ้นไปทาง WD ก็แนะนำให้ใช้ตัว WD SE, WD RE ตามลำดับครับ (งานระดับนั้นมันเกินประสิทธิภาพของ WD Purple ไปแล้ว) นอกจากนี้ WD ยังได้ใจดีทำหน้าเพจ Surveillance Hard Drives WD Purple ขึ้นมาโดยเฉพาะ ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าไปดูได้ว่างานกล้องวงจรปิดที่ตัวเองต้องการใช้ ควรเลือกรุ่นใดและคำนวณให้เสร็จสรรพว่าถ้าต้องการบันทึกด้วยความละเอียดเท่านี้ เป็นเวลากี่วันต้องใช้ความจุเท่าไหร่? รวมถึงตรวจสอบความเข้ากันได้ของอุปกรณ์กล้องวงจรปิดแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ทั่วโลกด้วย
เมื่อเปิดใช้งานเป็นระยะทีมงานจาก WD เทียบกันให้เห็นระหว่าง WD Blue และ WD Purple ตรวจสอบโดยใช้ Software วัดจากเครื่องสตรีมกล้องวงจรปิดพบกว่า WD Purple ร้อนน้อยกว่า WD Blue ประมาณ 5 องศาเซลเซียส (ทีมงานจาก WD โปรโมทว่าใช้งานจริงอย่างหนักอาจต่างกันถึง 10 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว)
###########################################
อ้างอิงจาก : Western Digital
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)