วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

BackUp สำคัญอย่างไร ??

การสำรวจข้อมูลและไฟล์ระบบเอาไว้แต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่ควรทำหลังจากที่คุณได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะ เพราะมันจะไม่ทำให้คุณต้องมานั่งคอตกในยามที่วินโดวส์ได้รับความเสียหายจนไม่อาจเข้าไปเอาข้อมูลคืนได้!!!


ปัญหาระบบวินโดวส์ล่มข้อมูลสูญหาย ไวรัสกล้ำกรายเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันจนชินตา ในปัจจุบันซึ่งผู้ใช้บางคนที่ไม่ทราบวิธีแก้ปัญหาก็ได้แต่ยกเครื่อง ไปที่ร้านซ่อมคอมพ์ และเสีย 300 บาท เพื่อรักษาทุกอาการ! โดยวิธีการปัญหาของร้านพวกนี้ก็คือ หากเข้าไปเอาข้อมูลที่คุณต้องการไม่ได้พวกเขาก็มักจะบอกคุณว่า "ต้องลงวินโดวส์ใหม่" จากนั้นก็จัดการโคลนนิ่งวินโดวส์พร้อมโปรแกรมต่าง ๆ จากฮาร์ดดิสก์ตัวหลักที่ใช้ประจำ ไปยังฮาร์ดดิสก์ของคุณ ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ก็ได้วินโดวส์พร้อมโปรแกรมคืนมา แต่ทว่าโปรแกรมประเภท Anti Virus หากโคลนนิ่งมาแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องอัพเดตแพตช์มันจะไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้เมื่อใช้ไปนานๆ พอมีไวรัสใหม่ๆ มาโปรแกรม Anti Virus จะไม่มีไฟล์แพตเทิร์นของไวรัสพวกนี้ ผลที่ตามมาก็คือคอมพิวเตอร์ของคุณจะไร้ซึ่งภูมิคุ้มกัน และหากติดไวรัสเข้าละก็ ปัญหาระบบวินโดวส์ล่ม ข้อมูลสูญหาย ก็คงจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง

มาแบ็กอัพข้อมูลกันเถอะ
คุณพร้อมหรือยังสำหรับการแบ็กอัพ? เพราะความเสี่ยงที่ข้อมูลและไฟล์ระบบได้รับความเสียหายจะลดลงหากคุณเริ่มต้นแบ็กอัพตั้งแต่ตอนนี้ โดยที่ไม่ต้องมองหาเครื่องมือหรือโปรแกรมภายนอกมาช่วยเลยก็ยังได้ เพราะวินโดวส์ได้เตรียมมาให้คุณแล้ว หากจะถามว่าการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? อย่างแรกเลยก็คือ คุณสามารถเรียกข้อมูลกลับคืนมาได้ทุกเวลาที่ต้องการ และอย่างที่สองนั้นหากวินโดวส์เกิดล่มขึ้นมาจริง ๆ คุณก็มีวิธีรับมือกับมันด้วยตัวเอง นอกจากนั้นหากคุณมั่นแบ็กอัพข้อมูลอยู่เป็นประจำแล้วละก็ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าคุณได้เตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว...

ก่อนอื่นเราไปดูกันว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่คุณใช้นั้น มีเครื่องมือหรือยูทิลิตี้อะไรบ้างสำหรับการแบ็กอัพข้อมูลและเรียกาคืนกลับมา เมื่อต้องการซ่อมแซม (บทความตอนนี้จะอ้างอิงถึงผู้ใช้ Windows XP เป็นหลัก)

System Restore
หนึ่งในโปรแกรมแบ็กอัพและรียกข้อมูลกลับคืน ที่หลายคนมักจะไม่ค่อยใช้งานนั้น ด้วยเหตุผลเดียวที่ว่า "ไม่รู้จะใช้ทำอะไร" เพราะไม่ทราบวิธีการใช้งานนั่นเอง! ซึ่งอันที่จริงแล้วโปรแกรม System Restore ใช้งานง่ายกว่าที่คุณคิดซะอีก เพราะวินโดวส์จะสร้างจุดสำหรับแบ็กอัพเพื่อใช้ในการเรียกข้อมูลกลับคืนให้เป็นระยะๆ อยู่แล้ว (อัตโนมัติ) ดังนั้น หากวินโดวส์มีปัญหาคุณก็สามารถใช้การ Restore ได้ทันที นอกจากนั้นหากคุณต้องการกำหนดจุดแบ็กอัพเองเพื่อเพิ่มความถี่ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องเรียนรู้เทคนิคอีกนิดหน่อย ซึ่งไม่ยากเกินไปสำหรับคุณแน่นอน

Backup Utility
สำหรับโปรแกรมตัวที่สองนี้ ค่อนข้างมีสมรรถนะการทำงานที่สูงพอตัว เพราะไมโครซอฟท์ได้เลือกใช้ซอฟต์แวร์ของ VERITAS ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านซอฟต์แวร์โซลูชันและดาต้าเบส Backup Utility ช่วยให้ผู้ใช้ที่ต้องการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบสามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะมีโหมดการทำงานอย่าง Wizard ที่เพียงแคคลิ้กเมาส์ตามก็ได้เช่นกัน ซึ่งโปรแกรมก็ได้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ มาให้เพียบ รับรองว่าลองใช้ดูแล้วจะรู้ว่าดีจริง! คุณสามารถใช้โปรแกรม Backup Utility โดยไปที่ Start->All Programs -> Accessories -> System Tools ->Backup

แบ็กอัพข้อมูลด้วยอุปกรณ์ฮาร์แวร์
สำหรับการแบ็กอัพข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์นั้น แน่นอนว่าย่อมลดความ เสี่ยงจากการที่ข้อมูลอาจสูญหายได้อีกขั้น นั่นก็เพราะคุณได้สำรองข้อมูลเอาไว้มากกว่าหนึ่งที่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียวอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแบ็กอัพข้อมูลในปัจจุบันก็ได้แก่ฮาร์ดดิสก์แบบติดตั้งภายนอกผ่านพอร์ต USB เทปแบ็กอัพ ที่มักจะใช้กับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ ซิปไดรฟ์ (Zip Drive) เครื่องบันทึก DVD/CD นอกจากนั้นยังมีการใช้แฟลชเมโมรี่ความจุสูง รวมทั้งไมโครไดรฟ์ที่ใช้กับอุปกรณ์โมบายมาแบ็กอัพข้อมูลด้วยเช่นกันซึ่งทำให้ข้อมูลสำคัญๆ ของคุณยังคงถูกรักษาเอาไว้ แม้ฮาร์ดดิสก์หลักของระบบจะได้รับความเสียหายก็ตาม ดังนั้น หากคุณมีงบเหลือพอที่จะซื้ออุปกรณ์แบ็กอัพข้อมูลสักชิ้นก็จะดีไม่น้อย!

30 ทิปเล็กน้อยๆสำหรับวินโดว์ที่ไม่ควรมองข้าม


1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น

2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น

3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ

4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\\windows ของคุณ

5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย

6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop

7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้

8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก

9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้

10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว

11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter

12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar

13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้

14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น

15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu

16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก

17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น

18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send

19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้

20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน

21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา

22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break

23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ

24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter

25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete

26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา

27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้

28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้

29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ

30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare

5 วิธีถนอมธัมบ์ไดร์ฟสุดรัก

ผมเพิ่งได้ธัมบ์ไดรฟ์ตัวใหม่มาใช้ครับ ด้วยความที่ความจุของมันตั้ง 1GB ผมจึงอยากจะรู้วิธีที่จะรักษามันไว้กับผมนานๆ ผมก็เลยนำบทความแนะนำวิธีดูแลธัมบ์ไดรฟ์ที่หาได้จากเว็บไซต์คอมพิวเตอร์ทูเดย์มาให้อ่านกันครับ


ภัยที่เกิดขึ้นกับธัมบ์ไดร์ฟโดยรวมๆคือ ธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย ธัมบ์ไดร์ฟเสียหายเพราะโดนไวรัส การถูกดูข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อมูลในธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย วิธีแก้ไขคือ

1. เก็บไว้ใกล้ตัว-ไม่ต้องกลัวหาย
นับวันธัมบ์ไดรฟ์จะมีขนาดเล็กลง หายง่ายมาก (ถูกขโมยก็ง่ายด้วย) มีไม่น้อยที่มักจะหลงลืมไว้ตามที่ต่างๆ เวลาหยิบออกมาวาง หรือแม้แต่ติดไปกับเครื่องคอมพ์ชาวบ้านเพราะลืมขอคืน บางคนชอบคล้องไว้กับกุญแจ ซึ่งเป็นของที่ชอบทำหายอันดับต้นๆ
วิธีน่าสนใจที่สุดคือ เลือกรุ่นที่มีสายคล้องคอไว้ แม้จะดูไม่สวยงามเท่าไร แต่มันลดโอกาสทำหาย และถูกขโมยได้เกือบ 100% อีกนิดนึง ควรเลือกรุ่นที่สายต่ออยู่กับตัวธัมบ์ไดรฟ์ หลีกเลี่ยงการเลือกใช้รุ่นที่สายคล้องคอผูกกับฝาครอบนะครับ

2. ระวังไวรัส
ต้องถือเป็นข้อควรระวังในการใช้งานธัมบ์ไดรฟ์อันดับต้นๆ เพราะโดยพื้นฐานแล้วธัมบ์ไดรฟ์จะมีลักษณะการใช้งานเหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไวรัสสามารถใช้ธัมบ์ไดรฟ์เป็นสื่อพาหะสำหรับการแพร่กระจายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเวลาใช้งานธัมบ์ไดรฟ์ คุณควรแน่ใจก่อนว่า เป็นการถ่ายโอนเฉพาะไฟล์ข้อมูลเท่านั้น (ไม่ได้ติดไวรัสมาด้วย) ประเด็นที่สำคัญก็คือ ควรแน่ใจว่าคุณกำลังเชื่อมต่อธัมบ์ไดรฟ์กับคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่ได้รับการอัพเดตสม่ำเสมอ และในกรณีที่คอมพ์ของคุณรันแอนตี้ไวรัส เวลาต่อกับธัมบ์ไดรฟ์ ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสในเครื่องคอมพ์จะสแกนธัมบ์ไดรฟ์ให้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจธัมบ์ไดรฟ์ที่รับมา ก็ไม่ควรเชื่อมต่อเข้ากับคอมพ์ของคุณเด็ดขาด

3. เข้ารหัสข้อมูล เพื่อรักษาความลับ
ถ้าหากธัมบ์ไดรฟ์ของคุณหาย นั่นหมายความข้อมูลของคุณตกไปอยู่ในมือของผู้ที่พบมันด้วย และถ้าหากคนผู้นั้นบังเอิญเป็นคู่แข่งคุณโดยตรง อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น หากคุณใช้ธัมบ์ไดรฟ์เก็บข้อมูลสำคัญ การเข้ารัหสข้อมูลดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) จะทำให้ข้อมูลเปิดอ่านไม่รู้เรื่องจนกว่าจะได้รับพาสเวิร์ดที่ถูกต้อง ซึ่งควรเลือกเข้ารหัสที่ระดับ 128 บิต เพื่อความปลอดภัย ธัมบ์ไดรฟ์รุ่นใหม่ๆ จะมาพร้อมกับคุณสมบัติการเข้ารหัสข้อมูลมาด้วย แต่อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจนะครับว่า ซอฟต์แวร์ที่ให้มาไม่ใช่รุ่นทดลอง เพราะไม่เช่นนั้น คุณอาจจะต้องจ่ายตังค์ค่าซอฟต์แวร์ในภายหลัง

4. สำรองข้อมูลให้เป็นนิสัย

ไม่ปฏิเสธครับว่า เวลาธัมบ์ไดรฟ์หาย เราคงรู้สึกไม่ดีแน่นอน แม้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นจะได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัสไว้แล้วก็ตาม แหม...ก็มันต้องเสียเงินอีกแล้วน่ะสิ แต่มันคงรู้สึกเจ็บใจเป็นสองเท่า หากข้อมูลที่อยู่ในนั้นเราไม่เคยได้ทำแบคอัพสำรองเอาไว้เลย ดังนั้น วิธีที่สุดคือ แนะนำให้คุณสำรองธัมบ์ไดรฟ์ไว้สักสองสามก็อปปี้ เพราะนอกจากพวกมันจะหายง่ายแล้ว ยังเสียง่ายอีกด้วย เนื่องจากธัมบ์ไดรฟ์ส่วนใหญ่จะใช้กรอบเป็นพลาสติก ซึ่งแตกหักได้ง่าย


5. เป็นข้อที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการถอดธัมบ์ไดร์ฟออกจากเครื่องอย่างถูกต้อง
เรื่องของเรื่องคือ ก่อนที่คุณจะดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากพอร์ตยูเอสบีบนคอมพิวเตอร์ ให้คุณปิดโปรแกรมทุกตัวที่มีการเข้าถึงไฟล์ต่างๆบนธัมบ์ไดรฟ์เสียก่อน จากนั้นคลิกไอคอน Safely Remove Hardware (ที่มีลูกศรสีเขียวปรากฎอยู่ในมุมล่างขวาบนทาสก์บาร์) แล้วคลิกเลือกธัมบ์ไดรฟ์ที่ปรากฏอยู่ในรายการ
เมื่อคลิกเลือกยูเอสบีไดรฟ์ที่ต้องการเอาออกแล้ว (รูปบน) จะได้รับข้อความแจ้งขึ้นมาว่า “Safe To Remove Hardware” (รูปล่าง) แปลว่า สามารถดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากระบบได้อย่างปลอดภัย
หลายเสียงยืนยันครับว่า หากถอดธัมบ์ไดร์ฟจากเครื่องปุบปับโดยไม่มีการทำตามขั้นตอนนี้ ธัมบ์ไดร์ฟเจ๊งมานักต่อนักแล้วครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างระหว่าง intel core I และ Xeon

แนะนำการเลือกใช้ CPU Intel Core i และ Intel Xeon ให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน

จัดให้ตามคำขอสำหรับเพื่อนๆที่ส่งสัยกันว่า CPU ทั้ง 2 ตระกูลจากทาง Intel อย่าง Intel Core i และ Intel Xeon มีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้งานรูปแบบใด วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาทำความรู้จักกับ CPU ทั้ง 2 ตระกูลยอดนิยมนี้กันครับ เพื่อให้เพื่อนๆได้เลือกใช้ CPU ให้เหมาะกับสเปค/ ลักษณะการใช้งาน ภายในความคุ้มค่ามากที่สุด

Intel Core i Processors
CPU ยอดนิยมที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายที่สุด โดยทาง Intel พัฒนา CPU ตระกูลนี้มาสำหรับการใช้งานในกลุ่ม Consumer รูปแบบต่างๆ ไล่ตั้งแต่การใช้งานระดับเบื้องต้น , การใช้งานมัลติมีเดียภายในบ้าน ด้วยการนำไปประกอบ HTPC, การใช้เล่นเกมด้วยการนำไปประกอบเป็น Gamer PC และ ณ ปัจจุบัน CPU ที่ได้รับความนิยมของ Intel Core i มี 2 แพล็ตฟอร์มด้วยกัน ได้แก่ Socket LGA 1150 รวมถึง Socket LGA 1151 ที่กำลังจะมาในอนาคต ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มสำหรับผู้ใช้ระดับโปร ซึ่งด้วยศักยภาพของ CPU  Socket นี้ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานมัลติมีเดียทั้งหมดในปัจจุบัน แต่ถ้าหากผู้ใช้ท่านใดต้องการประสิทธิภาพระดับสูงสุด และต้องการได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่า Socket LGA 1150 คงต้องเลือกใช้แพล็ตฟอร์มที่ใหญ่กว่าอย่าง LGA 2011 ซึ่งเป็น CPU ในตระกูล Core i Extreme Edition ตอบรับต่อการประกอบใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ได้ในระบบที่ใหญ่กว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า โดยหากเป็น CPU Intel Core i ใน Socket LGA 1150 เราขอหยิบยก CPU 3 ซีรีย์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันได้แก่


Intel Core i3 Series
ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานระดับ Entry เพื่อประกอบใช้งานบนเครื่อง Office PC, HTPC, Gamer PC ระดับเบื้องต้น โดย CPU ตระกูลนี้ให้ประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับงานในองค์กรเช่น การพิมพ์เอกสาร การท่องเว็บ การค้นหาข้อมูล การทำงานกราฟิกเบื้องต้น รวมถึงการใช้งานมัลติมีเดียเบื้องต้น เช่น การรับชมภาพยนตร์ภายในบ้าน การเล่นเกมออนไลน์ หรือเกมที่กราฟิกไม่หนักมาก ซึ่ง CPU ในตระกูลเหมาะสำหรับการติดตั้งใช้งานร่วมกับการ์ดจอระดับ Mid-Range ลงมา ในทางกลับกันหากนำไปใช้งานร่วมกับการ์ดจอระดับ high-end จะไม่สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดของการ์ดจอออกมาได้

Intel Core i5 Series
เป็น CPU ระดับ Mainstream ให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Core i3 มากพอสมควร ซึ่งมีเพื่อนๆสอบถามกันเข้ามาเยอะว่า จะประกอบคอมฯเล่นเกมควรเลือกใช้ CPU ที่เป็น Core i5 หรือ Core i7 หากเลือกใช้ Core i5 จะเพียงพอรึเปล่าสำหรับการเล่นเกม ต้องบอกว่าการเล่นเกม ณ ปัจจุบัน เลือกใช้ CPU ตระกูล Core i5 ถือว่าเพียงพอแล้ว สามารถขับพลังของการ์ดจอระดับ high-end ได้อย่างสบาย อย่างเช่น การเล่นเกมความละเอียด Full HD หรือ 4K ในปัจจุบัน หากเลือกจัดสเปคทั้งในส่วน Memory และการ์ดจอร่วมกับ CPU Core i5 ได้อย่างลงตัวก็ถือว่าเล่นเกมได้อีกนาน หรือจะเป็นการรับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูง เช่น ความละเอียด 2K, 4K ก็ไม่มีปัญหา สำหรับเพื่อนๆที่มีงบประมาณที่จำกัด เราแนะนำให้เปลี่ยนตัวเลือกจาก Core i7 มาเป็น Core i5 แล้วนำงบประมาณส่วนต่างไปเลือกซื้อการ์ดจอตัวแรงจะดีกว่าครับ

Intel Core i7 Series
แน่นอนว่า CPU ในซีรีย์นี้เป็น CPU ระดับ Flagship ที่ดีที่สุดในตระกูล Intel Core i มาพร้อมกับ Core/ Threads/ Cache รวมถึง Clock Speed และสเปคโดยรวมที่สูงกว่า CPU ในตระกูลอื่นๆ รวมถึงรองรับฟีเจอร์และชุดคำสั่งสำหรับการใช้งานได้ดีในทุกรูปแบบ จึงมีคำถามว่าหากใช้ Core i5 ก็เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานมัลติมีเดีย/ เล่นเกมทั่วไป ทำไมเราจะต้องเลือกใช้หรืออัพเกรดมาสู่ CPU Core i7 แน่นอนว่าคำตอบคือเรื่องของประสิทธิภาพบน Core i7 ที่  อีกทั้งตอบรับกับเมนบอร์ดที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ในระบบใหญ่ เช่น การเชื่อมต่อการ์ดจอในแบบ Multi-GPU ซึ่งหากเลือกใช้ CPU Core i5 ก็จะไม่เพียงพอสำหรับการรีดประสิทธิภาพของการ์ดจอออกมาได้สูงสุด ซึ่งจะเห็นผลต่างชัดเจนในด้านการใช้งาน เช่น นำไปเล่นเกมจะให้ค่า FPS ที่แตกต่างกันมากพอสมควรเป็นต้น นอกจากนี้ยังมี CPU ในตระกูล Core i7 Extreme ที่ประจำการอยู่บนแพล็ตฟอร์ม LGA 2011 ที่จะมาพร้อมสเปคที่เหนือกว่า Core i7 บนแพล็ตฟอร์ม LGA 1150 เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มองหาความเป็นที่สุดในการใช้งานมัลติมีเดีย ด้วยสเปคจะรองรับการทำงานร่วมกับเมนบอร์ดที่ความจุสูงกว่า รองรับการติดตั้งอุปกรณ์ Storage ได้หลายช่องทางกว่า รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่ออื่นๆ เช่น USB/ Expansion Slot สำหรับเชื่อมต่อการ์ดจอบนแบนด์วิดท์ที่สูงกว่า เป็นต้น โดย CPU ในตระกูลนี้ มักจะนำมาประกอบ Gamer PC ระดับ Extreme เช่น เล่นเกมความละเอียด 4K เล่นเกมแบบ Multi-Display รวมถึงการนำไปประยุกต์ใช้ด้านการทำงาน เช่น นำมาติดตั้งร่วมกับการ์ดจอ WorkStation และใช้จุดเด่นด้านประสิทธิภาพของ CPU มาใช้ทำงานร่วมกันครับ

อีกจุดสำคัญคือ CPU เกรด Consumer ที่กล่าวมานี้ จะรองรับการทำงานร่วมกับ Memory แบบ Non-ECC หรือ Memory แบบปกติที่เราใช้งานกันทั่วไป สำหรับด้านประสิทธิภาพและความจุ ณ ปัจจุบันรองรับการใช้งานอย่างครอบคลุมอยู่แล้ว แต่หากมุ่งเน้นในด้านความเสถียรของระบบควรไปใช้ CPU ในตระกูล Intel Xeon ที่รองรับ Memory แบบ ECC จะดีกว่าครับ



Intel Xeon Processors
CPU ที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานโดยเฉพาะ โดยทาง Intel ออกแบบ CPU ตระกูลนี้มาสำหรับการใช้งานในกลุ่ม Server/ WorkStation ตอบสนองต่อกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียร และประสิทธิภาพสูงในการใช้ทำงาน ณ ปัจจุบัน CPU ที่คนทำงานนิยมใช้กันคือ CPU ในตระกูล E3 Series บนแพล็ตฟอร์ม LGA 1150 และ CPU ตระกูล E5 Series บนแพล็ตฟอร์ม LGA 2011 แน่นอนว่า CPU ทั้ง 2 ซีรีย์นี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิ้งในด้านประสิทธิภาพ และการรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์หรือจุดเด่นไว้ก็คือ ความทนทาน ความเสถียร ของระบบที่เหนือกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ CPU เกรด Consumer อย่าง Intel Core i เพราะ CPU ในตระกูลนี้ถูกออกแบบ/ ติดตั้งชุดคำสั่งมาสำหรับใช้ในด้านการทำงานโดยเฉพาะ ซึ่งก็จะตอบรับการใช้งานบนซอฟต์แวร์ด้านการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า และรองรับต่ออุปกร์เกรด Server/ WorkStation โดยเฉพาะอีกเช่นกัน

Intel Xeon E3 Series
เป็น CPU ที่ประจำการอยู่บนแพล็ตฟอร์ม LGA 1150 โดยแต่ละรุ่นจะให้ประสิทธิภาพในระดับเดียวกับ CPU ในตระกูล Core i7 แต่จะมีความพิเศษคือฟีเจอร์เพื่อการทำงาน Server/ WorkStation คือ จะรองรับการติดตั้ง Memory ในแบบ ECC (Error Correcting Code) ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความเสถียร เพราะ Memory ชนิดนี้จะมีการตรวสอบข้อมูลเข้า/ออกทั้งหมด และทำการแก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดก่อนป้อนข้อมูลออกไป ส่งผลให้ System ที่ประกอบด้วย CPU Intel Xeon และ Memory ECC จะไร้ปัญหาเรื่อง Bluescreen หรืออาการหน่วง อาการค้าง เหมาะสำหรับงาน WorkStation ทั้งในกลุ่มงานกราฟิก, งานออกแบบ, งานตัดต่อ รวมถึงงาน WorkStation รูปแบบต่างๆได้อย่างครอบคลุม

Intel Xeon E5 Series
เป็น CPU บนแพล็ตฟอร์ม LGA 2011 ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด โดย CPU ในซีรีย์นี้จะให้ประสิทธิภาพในระดับที่เหนือกว่า CPU ตระกูล Core i7 Extreme รวมถึงความโดดเด่นในด้านความเสถียร รองรับอุปกรณ์เกรด WorkStation ได้เหนือกว่า/ หลากหลายกว่า CPU ในตระกูล E3 Series เช่นการเชื่อมต่อ CPU ในแบบ Dual-Socket, Quad-Socket/ การเชื่อมต่อการ์ดจอแบบ Multi-GPU หลายๆใบ เช่น 1x NVIDIA Quadro+ 1x NVIDIA Tesla หรือ 4x AMD FirePro เป็นเต้น รวมถึงรองรับ Memory ในแบบ ECC เพิ่มความเสถียรให้ระบบ และรองรับความจุได้มากกว่า โดยปัจจุบันรองรับความจุสูงสุดถึง 1TB เลยทีเดียว สำหรับ E5 Series ก็เหมาะสำหรับการนำไปประกอบเครื่อง Server ที่ต้องเปิดใช้งานเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งบาง System ไม่สามารถปิดเครื่องได้ หรือไม่สามารถให้เครื่องค้างได้ เพราะจะส่งผลต่อความเสียหายขององค์กรได้เลยทีเดียว หรือการประกอบเครื่อง WorkStation ระดับสูงเพื่อการทำงานออกแบบ งานกราฟิก/ตัดต่อ โปรเจ็คใหญ่ๆ หรืองานคำนวณที่ต้องการประสิทธิภาพระดับสูงสุด หรือการนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบ Zero Client ก็เหมาะเช่นกัน

หากจะให้กล่าวสรุปใจความสั้นๆระหว่าง CPU ทั้ง 2 ตระกูลนี้ก็คือ CPU แบบ Intel Core i เหมาะสำหรับการใช้งานมัลติมีเดียและการเล่นเกม โดยจะแบ่งลักษณะการใช้งานเหมือนที่ได้กล่าวไปก็คือ  Core i3 เหมาะสำหรับใช้งานระดับเบื้องต้นทั่วไป/ Core i5 เหมาะสำหรับงานระดับ Mainstream เพื่อการเล่นเกมความละเอียดสูง การใช้งานมัลติมีเดียที่หลากหลาย และสุดท้าย Core i7 เหมาะสำหรับการใช้งานระดับสูงทุกรูปแบบในด้านมัลติมีเดียและการเล่นเกม รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลากหลายกว่า และรีดประสิทธิภาพของอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆได้มากที่สุด

ส่วน CPU แบบ Intel Xeon นั้นเหมาะสำหรับการใช้งาน Server/ WorkStation โดยเฉพาะ เพราะถูกออกแบบมาสำหรับด้านการทำงาน มีความเสถียร ความทนทานต่อสภาะการทำงานที่หนักหน่วง และรองรับการติดตั้งอุปกรณ์เกรด WorkStation แบบที่ไม่สามารถหาได้บนอุปกรณ์เกรด Consumer เช่น หากเลือกใช้ CPU Intel Xeon ก็จะรองรับการติดตั้ง Memory แบบ ECC ที่มีการตรวจสอบข้อผิดพลาดก่อนส่งผ่านข้อมูล จึงไร้ปัญหาเครื่องค้าง เครื่องแฮงค์ เครื่องอืด เป็นต้น หรือจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นไปอีก ด้วยการติดตั้ง CPU แบบ 2 ตัวหรือ 4 ตัว ซึ่งฟีเจอร์นี้มีเฉพาะ CPU Intel Xeon เท่านั้น รวมถึงได้รับการ Certified การใช้งานร่วมกับการ์ดจอด้านการทำงานเช่น NVIDIA Quadro, AMD FirePro ได้ดีกว่าครับ และนี่ก็เป็นการแนะนำเบื้องต้นสำหรับการใช้งานของ CPU ทั้ง 2 รูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เลือกใช้ CPU ให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน คุณจะได้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่ามากที่สุดครับ

cr.Deva's Natural

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รวมแอพอันตรายใน Facebook ที่คุณต้องรีบลบด่วน !!


ช่วงนี้ใครที่ใช้ facebook แทบทุกวัน ก็จะพบว่ามีเพื่อนๆบางคนส่งแอพแปลกประหลาดมาให้เราร่วมกันคลิกกันเยอะแยะมาก มายเต็ม wall ไปหมด บางครั้งก็เป็นกิจกรรมเกม แต่บางครั้งแอพนี้แทบจะไร้สาระและน่ารำคาญมากๆ ซึ่งถ้าหากเรา เพิ่ม app บน facebook ที่เราไม่รู้จักละก็ นอกเหนือจะสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนของคุณๆบน facebook แล้ว คุณก็อาจตกเป็นเหยื่อในการกระจายพวก Scamware บน facebook หรือตกเป็นเหยื่อโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวได้


ตัวอย่างหนึ่งในแอพอันตรายอันตรายหลายๆแอพใน facebook

วันนี้จะขอนำเสนอรายชื่อ Application Facebook ที่คาดว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ facebook โดยทางเว็บไซต์ facerocks ซึ่งเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับรายงานข่าวด้านความปลอดภัยของ facebook นี้ ได้รวบรวมรายชื่อ Facebook Application ที่ถูกขึ้นเป็นแอพบัญชีดำ เพราะแอพเหล่านี้จะสร้างความก่อกวนแก่คุณ และเพื่อนๆของคุณบน facebook , อาจขโมยข้อมูลส่วนตัว และปล่อยไวรัสมัลแวร์กระจายต่างๆทาง facebook ได้ด้วย ซึ่งหากคุณมีแอพที่ตรงกับรายชื่อนี้ ให้ทำการลบแอพนี้ออกโดยเร็ว

รายชื่อแอพพลิเคชั่นอันตรายบน facebook ที่ทางเว็บไซต์ Facerocks ได้ประกาศเตือนขึ้นไว้เป็นบัญชีดำ ได้แก่

Are YOU Interested?
Get Revealed
Friends Secrets
ily or not
Would you rather
My Friend Secrets
Question Party
Friend Ville
friend.ly
tinychat
WAYN – Map Your Friends
Friends Photos
Daily Mood
21 Questions
love
21QUIZ12
Questions
THE FRIEND FIGHTING QUIZ
Best Looking Contest, etc.
tag friends <3
Best Friends
Are you my best friend ???
Truth Quiz
What Colour Are You!!!
Truths About You

หากพบแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ให้ทำการลบแอพนี้ออกทันทีโดยด่วนโดยเข้าไปตั้งค่าทางลิงค์นี้ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวบัญชี facebook ของคุณ รวมทั้ง Facebook เพื่อนๆของคุณด้วย


cr. Facerocks

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

10 วิธีเด็ดที่ช่วยให้อินเตอร์เน็ตวิ่งไว

ในยุคนี้ หลายๆครอบครัวก็มักจะติดอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงชนิดไร้สายไว้ในบ้านกันแล้ว แต่ในบางครั้งก็อาจจะประสบกับปัญหาต่างๆได้ เช่น สัญญาณไม่ทั่วถึง อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงช้ากว่าที่ควรจะเป็น ฯลฯ ลองมาดูกันดีกว่าว่าจะมีวิธีอะไรบ้านที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ WiFi ให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่กันบ้าง




10 วิธีเด็ดที่ช่วยให้อินเตอร์เน็ตวิ่งไว

1. พักเครื่องบ้าง
การปล่อยให้เครื่องทำงานอย่างหนักแบบข้ามวันข้ามคืนย่อมส่งผลให้เครื่องอืดมากขึ้นได้เช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปนั่นแหละ ฉะนั้น คุณควรจะปิดเครื่องให้มันได้พักผ่อนเสียบ้าง โดยปิดหลังจากที่ไม่ได้ใช้แล้วก็ดี พอจะใช้งานอีกครั้งจึงค่อยเปิดใช้งานใหม่อีกรอบ

2. หาเราเตอร์อีกตัวมาช่วยกระจายสัญญาณ
หากบ้านหรือหอพักของใครที่กว้างมากๆ ตัวปล่อยสัญญาณเพียงตัวเดียวคงจะไม่ทั่วถึงแน่ๆ ลองหาตัวช่วยย้สัญญาณหรือช่วยกระจายสัญญาณ (Access Point) มาทำหน้าที่เป็น Repeater ส่งต่อสัญญาณให้ทั่วทั้งบ้าน จะช่วยให้อินเตอร์เน็ตใช้งานได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน


3. ใช้อุปกรณ์เร่งสัญญาณ
ในเราเตอร์บางรุ่น สามารถใช้เฟิร์มแวร์เสริมความแรงได้ อย่างเช่นจำพวก DD-WRT ,Tomato ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเราเตอร์ สามารถเร่งความเร็วชิปให้เพิ่มขึ้นได้

4. จัดการกับแบนด์วิตธ์
ในตัวปล่อยสัยญาณบางรุ่นจะมีระบบจัดการแบนต์วิตธ์มาให้ สามารถกำหนดความเร็วให้เหลือนิดเดียวสำหรับพวกโหลดบิตหรือเล่นเกมส์ออนไลน์ได้ คนอื่นๆก็จะได้ใช้อย่างสบายใจบ้าง

5. ใช้ประป๋องเบียร์ช่วย
ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเทเบียร์กระป๋องราดลงไปที่ตัวปล่อยสัญญาณแต่อย่างใดนะ แต่วิธีการที่ถูกต้อง ก็คือ ตัดกระป๋องเบียร์หรือกระป๋องน้ำดื่มอื่นๆมาแผ่ออกให้เป็เหมือนกับในรูป กระป๋องเหล่านี้จะช่วยบังคับทิสทางของสัยญาณเอาไว้ได้



6. เคลียร์ช่องสัญญาณให้ว่างมากที่สุด
ดิดดูสิ รถเยอะรถก็ติด ถ้าคนใช้ Wi-Fi เยอะ ก็ย่อมทำให้สัญญาณเข้าไม่ทันใจได้เช่นกัน ดังนั้น วิธีการง่ายๆที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การตั้งระหัสผ่านไว้ซะ เพื่อป้องกันคนแย่งใช้ หรือหากเป็นสัญญาณที่แชร์กันหลายๆช่อง ก็ลองเปลี่ยนไปใช้สัญญาณของช่องอื่นๆก็ได้

7. ใช้ระบบการรัษาความปลอดภัยที่สูงที่สุดเพื่อป้องกันคนมาขโมยเล่น
ถึงแม้จะมีการตั้งระหัสผ่านไว้เพื่อป้องกันคนอื่นๆมาแย่งเล่นอินเตอร์เน็ตของคุณฟรีๆแล้ว ก็อาจจะมีบางคนที่สามาถแฮกเข้ามาเล่นของได้อยู่ดี ฉะนั้นควรเลือกใช้ระบบการเข้ารหัสที่ดีที่สุด จำพวก WEP ,WPA เป็นต้น และก็ควรตั้งระหัสยากๆเข้าไว้ เช่น การผสมตัวอักษรและตัวเลข ตัวพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ หรือการใส่อักขระพิเศษรวมเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนรพัสผ่านเป็นประจำเสมอ คนอื่นๆจได้ตามคุณไม่ทันนั้นเอง

8. วางไว้ให้ห่างจากโทณศัพท์บ้าน
คลื่นความถี่ที่ตัวปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ที่ใช้โดยส่วนใหญ่จะเป็น  2.4GHz ซึ่งเป็นคลื่นเดียวกันกับโทรศัพท์บ้าน ถ้าวางสองสิ่งนี้เอาไว้ใกล้ๆกัน ก็อาจจะทำให้เกิดการรบกวนสัญญาณซึ่งกันและกันได้

9. เลือกวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ปัญหาสำคัญที่ทำให้สัญญาณหายหรือสัญญาณไม่แรง ก็คือ จุดปล่อยคลื่นเป็นมุมอับกระจาย เพียงคุณลองย้ายเปลี่ยนตำแหน่งดู โดยพยายามวางไว้ในที่โล่งกว้างซักหน่อย การกระจายของสัญญาณก็จะทั่วถึงมากยิ่งขึ้นแน่นอน

10. เลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
แน่อนว่าของใหม่ล่าสุดย่อมดีกว่าของเก่าเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน หรือแม้แต่ตัวสัญญาณ Wi-Fi ก็ตาม ฉะนั้น จึงควรเปลี่ยนตัวปล่อยสัญญาณตามกาลเวลา เพื่อให้อุปกรณ์ของคุณสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่

cr.thaijobsgov